27 ตุลาคม 2552

ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของคอมมิวนิสต์

..........ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ เอกสารฉบับนี้ แปลมาจากการบรรยายของ Mr. David Herry ที่ได้รับเชิญเข้ามาบรรยายในประเทศไทยให้ทหารไทย “ รู้จักคอมมิวนิสต์” ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๔
..........ผมเห็นว่าเป็นเรื่องราวที่ชนรุ่นหลัง ควรได้รับทราบ ไม่ควรเลือนหายไปกับกาลเวลาและใช้เป็นเอกสารอ้างอิง เพื่อการศึกษาประวัติศาสตร์ครับ

ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของคอมมิวนิสต์
-------------------

..........เอกสารเพิ่มเติมต่อไปนี้ เป็นคำบรรยายเรื่อง Communist Strategy and Tactics ของ Mr. David Herry ซึ่งเป็นผู้อำนวยการกองกิจกรรมการเมือง วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สหรัฐฯ บรรยาย ณ โรงเรียนการรบพิเศษ เมื่อ ๖ กุมภาพันธ์ ๑๙๖๑
..........การศึกษาถึงยุทธศาสตร์ และยุทธวิธีของคอมมิวนิสต์นั้นนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง ประการเเรกก็คือ เราจำเป็นต้องรู้จักศัตรูของของเราเป็นอย่างดีเสียก่อน เราจึงจะเข้าต่อสู้กับศัตรูได้ด้วยความรอบรู้ที่มีอยู่อย่างดีที่สุด และให้ได้ผลมากที่สุด ในประการที่สอง ความนึกคิดของคอมมิวนิสต์นั้นยอมแตกต่างไปจากความนึกคิดของเรา ดังนั้นการที่เราจะนำเอาความนึกคิดตามแบบของเราไปใช้กับยุทธศาสตร์, ยุทธวิธี และการปฏิบัติการของคอมมิวนิสต์นั้น ย่อมจะก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ง่ายอย่างไม่มีปัญหา
..........ในวันนี้จะได้กล่าวถึงเรื่องสำคัญสองเรื่อง ซึ่งจะได้กล่าวถึงบ่อย ๆ ในระหว่างการบรรยาย และจะได้พยายามชี้ให้เห็นว่า เรื่องสำคัญทั้งสองนี้เราจะนำไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ กันได้อย่างไร
..........เรื่องแรก ก็คือ คอมมิวนิสต์สามารถจะฟักตัวอยู่ได้ในเมื่อวาวะทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองจุดอ่อน
..........เรื่องที่สองได้แก่ พลังความเข้มแข็ง และภัยจากคอมมิวนิสต์นั้น ขึ้นอยู่กับการจัดและยุทธวิธีของคอมมิวนิสต์เป็นประการสำคัญ
..........ในตอนนี้ใคร่จะกล่าวถึง ลัทธิมากซ์ เสียก่อน ตามที่เคยทราบกันอยู่แล้วว่า มากซ์ เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นนักเขียนชาวเยอรมันที่ได้สร้างส่วนสำคัญที่สุดในทฤษฎีพื้นฐานของคอมมิวนิสต์ อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เรื่องระบบนายทุน ตลอดจนคำอธิบายเกี่ยวกับความจำเป็นที่คอมมิวนิสต์จะต้องครองโลกให้ได้ของมากซ์นั้น มีความเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของคอมมิวนิสต์แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มากซ์ ได้กล่าวถึงการโค่นล้ม และความผิดพลาดของระบบนายทุนแต่เพียงกว้าง ๆ แต่มิได้แจกแจงรายละเอียดถึงยุทธวิธีหรือการปฏิบัติการโดยแท้จริงในการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์เพื่อโค่นล้มระบอบนายทุนไว้เลย สิ่งที่ได้จาก มากซ์ และ เอลเจลซ์ ผู้ร่วมงานของเขาในเรื่องนี้ก็เห็นมีเพียงสองสามประการที่ยังเอามาใช้เป็นหลักยุทธวิธีของคอมมิวนิสต์ในทุกวันนี้

คาร์ล ไฮน์ริช มาร์กซ


..........ประการแรกก็คือ หลักนิยมของมากซ์ที่ว่า คอมมิวนิสต์จะต้องประสบชัยชนะอย่างไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ หลักที่ว่าแนวทางแห่งประวัติศาสตร์ได้ชี้บ่งให้เห็นว่า ระบอบนายทุนจะต้องดับสูญไปจากโลก และหลักที่ว่าระบอบคอมมิวนิสต์ซึ่งมีพลังงานของชนชั้นกรรมาชีพค้ำจุนอยู่จะสามารถครองโลกได้ หลักนิยมดังกล่าวนี้ยังคงยึดถือกันอยู่ในปัจจุบัน เพราะเป็นเครื่องส่งเสริมให้เกิดพลังและความเชื่อมั่นแก่บรรดาสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ และก่อให้เกิดความน่าสะพรึงกลัวแก่ฝ่ายตรงข้ามที่ขาดความรอบรู้ในเรื่องของคอมมิวนิสต์ได้
..........ประการที่สอง ที่ได้จากมากซ์ ซึ่งยังนำมาใช้อยู่ในปัจจุบันได้แก่คำกล่าวที่ว่า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม จุดหมายปลายทางย่อมเป็นเครื่องชี้บ่งถึงวิธีการที่จะนำมาใช้หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า คอมมิวนิสต์จะครองอำนาจโดยใช้กลวิธีทั้งมวล หรือยุทธวิธีทุกอย่างที่ประสงค์จะใช้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่ายุทธวิธีนั้น ๆ จะชั่วร้ายสักเพียงใด ถ้าสามารถบันดาลให้คอมมิวนิสต์ครองอำนาจได้ในที่สุดก็เป็นอันใช้ได้ ซึ่งหลักนิยมนี้ยังคงนำมาใช้กันได้อยู่ทุกวันนี้เช่นเดียวกัน
..........ประการที่สาม มากซ์ ได้เน้นในบทความทุกเรื่องของเขาว่า การต่อสู้ การใช้กำลัง และความรุนแรง เป็นสิ่งจำเป็นในกิจกรรมของมนุษย์ รวมทั้งการโค่นล้มระบอบนายทุน มากซ์ ได้กล่าวว่าการขัดแย้งเป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิต หากปราศจากเสียซึ่งการขัดแย้งแล้วความก้าวหน้าก็จะไม่บังเกิดขึ้น ข้อนี้เป็นหลักนิยมอีกประการหนึ่งที่ได้นำมาใช้เป็นหลักยุทธวิธี และการปฏิบัติการของคอมมิวนิสต์ในปัจจุบัน คอมมิวนิสต์เชื่อว่าการต่อสู้กันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และการใช้กำลังกับความรุนแรงนั้นจะต้องไม่มีข้อจำกัด หรือไม่ต้องคำนึงถึงศีลธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น
..........ประการสุดท้ายที่ได้จาก เอนเจลซ์ มากกว่าได้จากมากซ์ เอนเจลซ์ ผู้ร่วมงานของมากซ์ ได้กล่าวว่า “ถ้าจะปฏิวัติแล้ว จงอย่าทำเป็นเล่น เมื่อตัดสินใจทำการปฏิวัติก็ต้องดำเนินการอย่างเด็ดเดี่ยว และจะต้องดำรงความริเริ่มไว้ให้ได้” คอมมิวนิสต์คงยึดถือคำกล่าวของ เอนเจลซ์ นี้อยู่ในปัจจุบัน
..........อย่างไรก็ตาม หลักนิยมของมากซ์ ยังเป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดจุดอ่อนแก่คอมมิวนิสต์ ซึ่งบางครั้งเราสามารถแสวงประโยชน์จากจุดอ่อนนี้ได้ จุดอ่อนประการแรกก็คือ หลักนิยมของมากซ์ นั้นไร้เหตุผล และเป็นความนึกคิดที่ล้าสมัย คำกล่าวส่วนใหญ่ของมากซ์ เป็นจริงเฉพาะในปี ค.ศ.๑๘๔๘ ซึ่งเป็นปีที่มากซ์ ได้จัดพิมพ์หนังสือ บัญญัติของคอมมิวนิสต์ (Communist Manifesto) ขึ้น แต่ในปัจจุบันเรื่องที่ มากซ์ ได้กล่าวไว้นั้นเป็นเรื่องที่ผิดอย่างเห็นได้ชัด ข้อผิดพลาดที่สำคัญที่สุดก็คือ ส่วนที่กล่าวถึงระบอบนายทุน ซึ่งเป็นระบอบที่ประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้ว และประเทศอื่น ๆ ในโลกเสรีได้นำมาใช้อยู่จนทุกวันนี้ ด้วยเหตุนี้คำกล่าวของมากซ์ หลายประการจึงไม่เป็นความจริงเสียแล้วในปัจจุบัน ข้อนี้เองที่เราสามารถจะหยิบยกขึ้นมาเพื่อโจมตี หรือเพื่อชี้ให้เห็นที่มาแห่งจุดอ่อนของพรรคคอมมิวนิสต์ได้ นอกจากนั้น มากซ์ ยังมีความคิดทีผิดพลาดอีกหลายประการในด้านการเศรษฐกิจ โดยที่มากซ์ได้แถลงถึงทฤษฎีทางเศรษฐกิจอีกหลายทฤษฎี ซึ่งในปัจจุบันได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องที่ผิดทั้งสิ้น นี่ก็เป็นจุดอ่อนอีกประการหนึ่งที่มีอยู่ในหลักนิยมของคอมมิวนิสต์
..........ในตอนนี้ใคร่จะกล่าวถึง เลนิน ซึ่งเป็นชาวรัสเซีย และเป็นผู้ได้นำหลักนิยมของมากซ์ มาใช้ให้ได้ผลอย่างจริงจัง เลนิน ได้เป็นผู้ริเริ่มยุทธวิธีส่วนมากของคอมมิวนิสต์และได้นำยุทธวิธีดังกล่าวนี้มาใช้ในการปฏิวัติในรัสเซีย




วลาดิมีร์ อิลลิช เลนิน


..........ตามที่ได้ทราบกันอยู่แล้วว่า เลนิน เป็นชาวรัสเซีย เกิดในครอบครัวชนบท ในปี ค.ศ.๑๘๗๐ ความนึกคิดในระยะเริ่มแรกของ เลนิน มีผลมาจากการที่พี่ชายของเขาชื่อ อเล็กซานเดอร์ ได้ถูกรัฐบาลของพระเจ้าซาร์ ประหารชีวิต แต่นั้นมาเลนิน จึงด้กลายเป็นนักปฏิวัติตั้งแต่อายุยังน้อย มุ่งมั่นที่จะโค่นล้มรัฐบาลของพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียให้ได้
..........เลนิน กลายเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด และอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อโลกและประวัติศาสตร์ของโลกมากกว่าบุคคลใดในศตวรรษที่ ๒๐ เลนิน มีความหลักแหลมอยู่สองประการ ประการแรกก็คือ เขาสามารถนำหลักนิยมทางยุทธวิธีเบื้องต้นที่มากซ์ได้เขียนไว้มาพัฒนาและใช้อย่างได้ผลยิ่ง ซึ่งคอมมิวนิสต์ยังคงใช้อยู่จนทุกวัน การที่เราต้องมาศึกษาเกี่ยวกับ เลนิน และยุทธวิธีของเขาตลอดจนการนำไปใช้ในการปฏิวัติในรัสเซียนั้นก็เพราะว่า ยุทธวิธีดังกล่าวนี้เป็นแม่บทของยุทธวิธีทั้งมวลของคอมมิวนิสต์ที่เราต้องเผชิญอยู่ในประเทศของเราในปัจจุบัน ประการที่สองก็คือ เลนิน มีความสามารถเป็นเยี่ยมในการจัด เลนิน ได้พัฒนาหลักการและได้จัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ ในลักษณะที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างใหญ่หลวง อันเป็นผลให้ชนกลุ่มน้อยสามารถเอาชนะประเทศใหญ่เช่นรัสเซียได้
..........เนื่องจาก เลนิน เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดหลักยุทธวิธีและการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์นี่เอง จึงสมควรที่จะได้กล่าวถึงงานของบุคคลผู้นี้อีกสักเล็กน้อย
..........ประการแรกก็คือ ยุทธศาสตร์ของเลนิน หลักยุทธศาสตร์เบื้องต้นของเขาก็คือ การเข้ายึดอำนาจทั้งสิ้นในรัสเซียด้วยการปฏิวัติ โดยอาศัยชนชั้นกรรมาชีพเป็นเครื่องมือ นี่เป็นหลักเบื้องต้นประการแรก
..........ถัดจากนั้น เลนิน ยังได้ทำในสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก นั่นก็คือ การจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นหลักการที่เลนิน ได้นำมาใช้ในการจัดตั้งพรรคอย่างได้ผล ในขั้นแรก เลนิน เชื่อว่าพรรคคอมมิวนิสต์นั้นจะต้องประกอบด้วยนักปฏิวัติอาชีพที่มีวินัยดี และยอมอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างให้กับหลักการของตน
..........ประการที่สอง เลนิน เชื่อว่าสมาชิกในพรรคคอมมิวนิสต์นั้นควรจะเป็นบุคคลชั้นนำของชนชั้นกรรมาชีพ ที่สามารถจะนำมวลชนส่วนที่เหลือไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ได้
..........ประการที่สาม พรรคการเมืองตามความคิดของเลนินนั้น ต้องเป็นพรรคการเมืองที่ปิดอยู่ในวงจำกัด ไม่เหมือนในสหรัฐฯ หรือในประเทศอื่นๆ ที่เปิดโอกาสให้แก่ทุกคนที่สมัครใจจะเข้าร่วม แต่พรรคคอมมิวนิสต์นั้นต้องปิด จะเปิดให้เฉพาะชนกลุ่มน้อยที่ได้ผ่านการทดสอบกลั่นกรองมาอย่างดีแล้วเท่านั้น ...
..........ประการถัดไป พรรคคอมมิวนิสต์ต้องยึดถือหลักการรักษาความลับ การปฏิบัติการทุกอย่างของพรรคจะให้โลกภายนอกล่วงรู้ไม่ได้ เป็นพรรคที่คิดคดทรยศ กล่าวคือเป็นพรรคการเมืองที่ดำเนินการอย่างลับ ๆ เพื่อโค่นล้มรัฐบาล และเป็นพรรคการเมืองที่ผิดกฎหมายภายใต้ระบอบปกครองของพระเจ้าซาร์ในสมัยนั้น
..........ประการต่อไปที่นับว่าสำคัญมากก็คือ หลักการเบื้องต้นของพรรคที่เรียกกันว่า ประชาธิปไตยแบบรวมอำนาจ (Democratic Centralism) อย่าเข้าใจผิดว่าคำนี้จะหมายถึงพรรคที่เป็นประชาธิปไตย แต่ความหมายที่แท้จริงนั้นก็คือ กฎข้อบังคับที่บงการมาจากผู้ที่อยู่เหนือตน อันเป็นประการศิตที่สมาชิกทุกคนของพรรคจะต้องปฏิบัติตาม การนำเอาคำว่าประชาธิปไตยมาใช้เพื่อให้หลงผิดเท่านั้นเอง ความหมายที่ถูกนั้น คำว่า “ประชาธิปไตยแบบรวมการ” ก็คือ “ระบอบเผด็จการจากผู้เป็นนาย” นั่นเอง คอมมิวนิสต์ยังคงใช้หลักเบื้องต้นอันนี้ในการจัดตั้งพรรคขึ้นทุกแห่ง เลนิน เองก็ยอมรับว่าพรรคการเมืองของเขาไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางนัก และด้วยเหตุนี้พรรคคอมมิวนิสต์จึงไม่มีความเป็นประชาธิปไตย อย่างแท้จริงตามความรู้สึกของพวกเรา
..........ยิ่งกว่านั้น เลนิน ยังได้ย้ำว่า พรรคคอมมิวนิสต์จะต้องมีวินัยอย่างเข้มแข็ง สมาชิกทุกคนจะต้องเชื่อฟังอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าสมาชิกผู้นั้นจะมีตำแหน่งฐานะสูงหรือต่ำเพียงใดก็ตาม สมาชิกทุกคนจะต้องประกอบด้วยชนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น จะต้องไม่มีการแบ่งเป็นกลุ่มย่อยที่คอยคัดค้านหรือขัดแย้งซึ่งกันและกัน
เนื่องจากไม่มีความเป็นประชาธิปไตยอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์เลย เลนิน จึงได้หาทางชดเชยในเรื่องนี้ โดยเปิดโอกาสให้มีการวิจารณ์ตนเอง และมีการวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นการภายใน แนวความคิดของคอมมิวนิสต์ในเรื่องนี้หมายความว่า สมาชิกทุกคนจะต้องตรวจสอบการกระทำของตนเอง และจะต้องยอมรับผิดในความผิดที่ได้กระทำไปต่อหน้ากลุ่มสมาชิกของพรรค นอกจากนั้นยังให้มีการวิจารณ์กันได้อย่างเสรีภายในพรรคอีกด้วย แม้ว่าจะเป็นการวิจารณ์ต่อผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่าก็ตาม หลักการของเลนินในข้อหลังนี้เป็นเพียงหลักประการหนึ่งในสองสามประการของเลนินซึ่งปัจจุบันได้เลิกใช้กันไปแล้ว
..........หลักนิยมของเลนิน อีกประการหนึ่งที่เกี่ยวกับการจัดพรรคคอมมิวนิสต์ก็คือ จะต้องมีการปรับปรุงสมาชิกของพรรคอยู่เป็นประจำ การปรับปรุงสมาชิกของพรรคตามความหมายนี้ก็คือการตรวจสอบคุณสมบัติของสมาชิกอย่างสม่ำเสมอ หากปรากฏว่าสมาชิกคนใดไม่สามารถกระทำตนให้ถึงขั้นมาตรฐานได้ ก็จะต้องถูกปลดออกจากความเป็นสมาชิก
..........ประการสุดท้าย เลนิน ได้เน้นว่า พรรคคอมมิวนิสต์จะต้องมีหน่วยกำลังถืออาวุธหนุนหลังอยู่ด้วย และพร้อมที่จะใช้ได้ทันทีที่พรรคต้องการ หลักในประการนี้แหละเป็นเรื่องที่เข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันกับเรามากที่สุด
..........ที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นหลักการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ตามแนวความคิดของ เลนิน นอกจากนี้ ยุทธวิธีของพรรคก็นับว่ามีความสำคัญมาก หรืออาจจะสำคัญที่สุดก็ว่าได้ ยุทธวิธีที่ เลนิน ได้กำหนดไว้ในครั้งนั้นได้ถูกนำมาใช้กับพวกเราแล้วในปัจจุบัน ดังจะได้ชี้ให้เห็นเมื่อถึงตอนที่กล่าวถึงยุทธวิธีของคอมมิวนิสต์ในปัจจุบัน ในตอนนี้ขอกล่าวถึงหลักเบื้องต้นของยุทธวิธีของเลนิน ในการนำพรรคคอมมิวนิสต์ไปสู่การครองอำนาจเสียก่อน
..........ประการแรก เลนิน ได้ใช้หลัก ความอ่อนตัว และความสามารถในการปรับตนเอง (Flexibility and Adaptability) เลนิน ได้เน้นว่า ยุทธวิธีของคอมมิวนิสต์จะต้องไม่กระด้าง แต่จะต้องเปลี่ยนยุทธวิธีของตนให้เหมาะกับสถานการณ์ในท้องถิ่นนั้น ๆ ได้เสมอ
..........ประการที่สอง ก็คือ การฉวยโอกาส (Oportunism) เลนินได้ย้ำว่าพรรคคอมมิวนิสต์จะต้องพร้อมที่จะครองความได้เปรียบให้ได้ในทุกโอกาส แม้ว่าการกระทำเช่นนั้นจะต้องพร้อมที่จะครองความได้เปรียบให้ได้ในทุกโอกาส แม้ว่าการทำเช่นนั้นจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแนวดำเนินงานของพรรคอย่างเด่นชัดไปชั่วขณะก็ตาม พรรคคอมมิวนิสต์จะต้องพร้อมที่จะหลบหลีกได้ทุกขณะ
..........ประการที่สาม คือ การจัดระบบชนชั้นกรรมาชีพ เลนิน ได้เน้นว่าจุดมุ่งหมายหลักของพรรคก็คือ การจัดระบบชนชั้นกรรมาชีพ เพื่อหาทางแทรกซึมเข้าไปในสหพันธ์การค้าต่าง ๆ และเพื่อจัดระบบชนชั้นกรรมกรให้เข้าระเบียบ
..........ประการถัดไป เลนิน ได้เน้นว่าการได้รับการสนับสนุนและความเห็นอกเห็นใจจากมวลชนนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น ถึงแม้ว่าการได้รับการสนับสนุนและความเห็นอกเห็นใจนี้จะไม่เป็นไปอย่างเเข็งขันและทั่วถึงก็ตาม แต่พรรคคอมมิวนิสต์ก็จะต้องพยายามให้ได้มาซึ่งความเห็นอกเห็นใจจากกลุ่มชนส่วนใหญ่เสมอ
..........ประการถัดไป ได้แก่ การโฆษณาชวนเชื่ออย่างสม่ำเสมอ เลนิน ได้เน้นว่าพรรคจะต้องดำเนินการโฆษณาชวนเชื่อเรื่อยไป เพื่อส่งเสริมจุดหมายปลายทางของตนเองและเพื่อต่อต้านฝ่ายปรปักษ์
..........ประการต่อไปก็คือ การผูกมิตรกับศัตรูเป็นการชั่วคราว เลนิน กล่าวว่าพรรคคอมมิวนิสต์จะต้องพร้อมที่จะจับมือกับฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายเป็นกลางได้ การผูกมิตรนี้ต้องให้มีผลในการส่งเสริมจุดหมายปั้นปลายของคอมมิวนิสต์ และจะใช้ในการแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้น
..........ประการกถัดไปได้แก่ การแบ่งแยกคู่ต่อสู้ของพรรค เลนินได้เน้นถึงความจำเป็นในการแบ่งแยกฝ่ายตรงข้าม โดยการสร้างความได้เปรียบจากการขัดแย้งภายในฝ่ายตรงข้ามเอง และหาทางขยายให้การขัดแย้งเหล่านั้นเพิ่มทวีขึ้นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
..........ประการต่อไปก็คือ การทำลายสถาบันของระบอบประชาธิปไตยจากภายใน เลนิน ได้ย้ำว่าพรรคคอมมิวนิสต์จะต้องหาทางดำเนินการในเรื่องนี้ โดยการแทรกซึมเข้าไปในสถาบันเหล่านั้น อาศัยประโยชน์จากวิธีการของระบอบประชาธิปไตย เพื่อมุ่งหมายจะทำลายระบอบประชาธิปไตยจากภายในเท่านั้น
..........ประการถัดไปได้แก่ การเข้าร่วม และนำในการปฏิวัติของชนชั้นสามัญ เลนินได้เน้นว่าพรรคคอมมิวนิสต์จะต้องหาทางเข้าร่วมและนำการปฏิวัติของชนเหล่านี้ให้ได้ เเม้ว่าตนจะไม่เห็นด้วยกับจุดหมายของการปฏิวัตินั้น ๆ ก็ตาม การเข้าร่วมในการปฏิวัติจะเป็นเครื่องช่วยให้พรรคมีฐานะดีขึ้น เพื่อทำการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์เองต่อไป
..........ประการต่อไปก็คือ การใช้ยุทธวิธีก่อการร้าย (Terror Tactics) เลนิน ได้ย้ำถึงความสำคัญของการใช้ยุทธวิธีดังกล่าว นี่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกเราอีกเรื่องหนึ่ง เลนิน ได้เน้นว่า พรรคคอมมิวนิสต์ควรใช้กำลัง การก่อการร้ายและความรุนแรงในทุกโอกาสที่เห็นว่าการกระทำเหล่านั้นจะช่วยให้คอมมิวนิสต์ก้าวหน้าไปได้
..........ประการสุดท้ายก็คือ การสนับสนุนการปฏิวัติเพื่อต่อต้านฝ่ายจักวรรดินิยมในสมัยเลนิน กำลังเขียนหลักยุทธวิธีเหล่านี้อยู่นั้น เขากล่าวว่าคอมมิวนิสต์ควรจะสนับสนุนการปฏิวัติเพื่อต่อต้านฝ่ายจักรวรรดินิยมทุกแห่งในโลก
..........ที่กล่าวมานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นหลักยุทธวิธีของเลนิน ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะว่าเลนิน เป็นคนแรกที่ได้เขียนขึ้น และเป็นคนแรกที่ได้นำมาใช้ และเพราะว่ายุทธวิธีดังกล่าวนี้ได้ตกทอดมาจนถึงสมัยเรา และคอมมิวนิสต์ก็ยังนำมาใช้อยู่จนทุกวันนี้ ดังที่เราจะเห็นต่อไป
..........ต่อไป จะได้กล่าวถึงสถานการณ์ในประเทศจีน และยุทธวิธีของเมาเซตุง ผู้นำแห่งการปฏิวัติจีน ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ก็ตาม ก็ยังนับได้ว่ามีความสำคัญต่อระบบคอมมิวนิสต์อยู่มาก เพราะเหตุว่าหลักนิยมและยุทธวิธีที่เมาเซตุงคิดดัดแปลงขึ้นนั้น ได้นำมาใช้กันอย่างเต็มที่ในหลายประเทศจนถึงทุกวันนี้
..........เรื่องที่ควรทราบประการแรกก็คือ เมาเซตุงไม่ได้คิดประดิษฐ์หลักนิยมทางยุทธวิธีขึ้นใหม่เสียทั้งหมดโดยทั่ว ๆ ไปคงอาศัยหลักนิยมทางยุทธวิธีและหลักนิยมในการจัดพรรคการเมืองของเลนินนั่นเอง แต่นำมาเปลี่ยนแปลงและปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพการของประเทศจีนในขณะนี้
..........ถึงอย่างไรก็ดี เมาเซตุง ก็ได้เพิ่มลักษณะเด่น ๆ เข้าไปในหลักการทางยุทธวิธีของเลนินอีกหลาย

..........ประการที่สำคัญที่สุดก็คือ เมาเซตุง ได้เพิ่มเเนวความคิดที่ว่า คอมมิวนิสต์ควรจะสร้างอำนาจของตนเพื่อทำการปฏิวัติโดยอาศัย “ชาวไร่ ชาวนา” ผู้มีอาชีพทางเกษตรกรรม มากกว่าจะอาศัยชนชั้นกรรมชีพที่ทำงานด้านอุตสาหกรรม หรืออีกในหนึ่ง เลนิน ได้กล่าวว่า คอมมิวนิสต์จะขึ้นสู่อำนาจได้ด้วยการจัดตั้งและการนำชนชั้นกรรมาชีพ ส่วนเมาเซตุง เห็นว่า เขาจะขึ้นสู่อำนาจได้ดีที่สุดด้วยการจัดตั้งและการนำบรรดาชาวไร่ชาวนาของจีนมากกว่า
..........ประการที่ ๒ เมาเซตุง เห็นความสำคัญในเรื่องยุทธวิธีของกองโจรมากกว่าเลนิน เพราะสถานการณ์ในประเทศทั้งสองนั้นแตกต่างกัน การรบแบบกองโจรมีความเหมาะสมเป็นพิเศษสำหรับประเทศจีน เรื่องนี้เป็นผลงานอันหนึ่งของเมาเซตุง ที่ได้ทำไว้ให้แก่คอมมิวนิสต์ อันเป็นมรดกตกทอดมาถึงทุกวันนี้ การใช้กองโจรและการปฏิวัติการทางทหารตามที่ผู้นำจีนคอมมิวนิสต์ผู้หนึ่งกล่าวไว้นั้นก็คือ “ในขณะที่ข้าศึกรุก เราถอย ในขณะที่ข้าศึกหยุด เรารบกวน ในขณะที่ข้าศึกเหนื่อย เราเข้าตี และในขณะที่ข้าศึกถอย เราไล่ติดตาม”
..........ประการสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญประการที่สาม เมาเซตุง ได้เพิ่มแนวความคิดขึ้นอีกว่า ในการที่จะให้ได้มาซึ่งชัยชนะในการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์นั้น จำเป็นต้องมีสิ่งสำคัญสี่ประการ คือ พรรคคอมมิวนิสต์ การสนับสนุนจากประชาชน, กองทัพทางการเมือง และฐานปฏิบัติการทางยุทธศาสตร์ เราคงได้เห็นเเล้วว่า แนวความคิดดังกล่าวนี้ได้ถูกนำมาใช้ในพื้นที่อื่น ๆ อีกหลายแห่งในประเทศต่าง ๆ อีกหลายแห่งในประเทศต่าง ๆ ของภาคพื้นเอเชียอาคเนย์
..........การที่จีนคอมมิวนิสต์ได้นำหลักยุทธวิธีของเมาเซตุง ไปใช้ในการปฏิวัติของตนก็ดีและการพัฒนาหลักยุทธวิธีเหล่านี้ในขณะดำเนินการปฏิวัติอยู่นั้นก็ดี ย่อมเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า คอมมิวนิสต์สามารถจะใช้หลักยุทธวิธีดังกล่าวอย่างได้ผลเพียงใดในการครองประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ขาดการจัดระเบียบที่ดีเช่นประเทศจีน
..........ในตอนต้น ๆ คอมมิวนิสต์ในประเทศจีนอยู่ภายใต้การควบคุมของสหภาพโซเวียด โดยที่ สตาลิน ได้ส่งบุคคลผู้หนึ่งชื่อมิเคล โบโรดิน (MIKHAIL BORODIN) ไปเป็นผู้นำคอมมิวนิสต์ในจีน แต่เขาผู้นี้ปฏิบัติอย่างไร้ผลโดยสิ้นเชิง สตาลิน ซึ่งเป็นผู้อำนวยการปฏิบัติของจีนคอมมิวนิสต์จากระยะใกล้ก็ไม่อาจเข้าใจสถานการณ์อันนี้ได้ เมาเซตุง และคอมมิวนิสต์อื่น ๆ รับคำสั่งจากเขา แต่ไม่สามารถนำการปฏิบัติได้เป็นผลสำเร็จ คำสั่งนโยบายจากสตาลินในเรื่องนี้ก็คือ ให้แทรกซึมและขึ้นครองอำนาจในพรรคจีนคอมมิวนิสต์คณะชาติ (NATIONALIST PARTY OF CHINA) ซึ่งคอมมิวนิสต์ก็พยายามทำเช่นนั้นตลอดมาในปี ค.ศ. ๑๙๒๗ สตาลิน มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่ง เขาได้กล่าวว่า “เราสามารถจะกำจัดฝ่ายขวาของพรรคจีนคณะชาติได้เหมือนผลส้ม” แต่เจียงไคเช็คได้ชิงกำจัดเสียก่อน คอมมิวนิสต์จึงประสบความพ่ายแพ้และถูกขับไล่ออกจากพรรคจีนคณะชาติ ซึ่งเป็นเวลาหลายปีที่คอมมิวนิสต์ต้องประสบความล้มเหลวครั้งแล้ว ครั้งเล่า จนต้องล่าถอยเข้าไปตั้งอยู่ในส่วนลึกของประเทศจีน นับตั้งแต่นั้นมา เมาเซตุง ก็ได้รวบรวมบรรดาชาวไร่ชาวนาและเริ่มปฏิบัติการแบบกองโจร อันเป็นทางนำให้เขาไปสู่ชัยชนะได้ในที่สุด
..........ต่อไปนี้จะกล่าวถึง หลักยุทธวิธีและยุทธศาสตร์ของโซเวียตในการยึดอำนาจประเทศต่าง ๆ ในยุโรปตะวันออก มาถึงตอนนี้ได้มีการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วสองครั้ง โดยเข้ายึดอำนาจในประเทศที่ใหญ่ที่สุดสองประเทศ คือ จีน และรัสเซีย ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง คอมมิวนิสต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซเวียตได้เข้ายึดอำนาจในประเทศเล็ก ๆ ส่วนมากของยุโรปตะวันออก การดำเนินการก็คงใช้ยุทธวิธีที่คล้ายคลึงกัน แต่ไม่เหมือนกันเลยทีเดียว ทั้งนี้เพราะสถานการณ์ในแต่ละประเทศย่อมแตกต่างกันออกไป ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โซเวียตได้ทิ้งกำลังทหารของตนไว้แทบทุกประเทศเหล่านั้น แล้วโซเวียตได้ใช้อำนาจและการคุกคามด้วยกำลังทหาร เพื่อบีบบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศดังกล่าว ซึ่งเป็นผลให้มีการจัดตั้งเป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์ขึ้นได้ในภายหลัง อย่างไรก็ดีนับว่าได้มีการนำหลักยุทธวิธีพื้นฐานของเลนินมาใช้กับประเทศเหล่านั้น
..........ยุทธวิธีที่นำมาใช้ก็คือ เข้าร่วมมือกับพวกอื่นชั่วคราวเพื่อประโยชน์ของตน แล้วก็หาทางทำลายพวกหรือกลุ่มต่าง ๆ เหล่านั้นเสียในภายหลัง การดำเนินการดังกล่าวนี้กระทำได้โดยการเข้าร่วมกับฝ่ายที่มีเสียงข้างมาก แล้วทำลายฝ่ายเสียงข้างน้อย อันเป็นการแบ่งศัตรูของพรรคคอมมิวนิสต์ แล้วทำลายเสียทีละพวกนั่นเอง วิธีการเช่นนี้คือวิธีการที่ ราโกซี (RAKOSI) ผู้นำคอมมิวนิสต์ของฮังการีเรียกว่า ยุทธวิธีใส้กรอก (SALAMI TACTICS) หมายความว่าจะถือศัตรูเป็นเสมือนใส้กรอก โดยหั่นออกทีละชิ้น ๆ จนไม่มีอะไรเหลือยู่เลย ในเช็คโกสโลวาเกีย ซึ่งไม่มีกำลังทหารของโซเวียตอยู่เลยในขณะนั้น ความคลี่คลายคงเป็นไปคล้าย ๆ กัน แต่ในลักษณะช้ากว่ากันเท่านั้น เราคงจำกันได้ว่า คอมมิวนิสต์ไม่ได้ยึดอำนาจในเช็คโกสโลวาเกียจนกระทั่งถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.๑๙๔๘ คอมมิวนิสต์จึงเริ่มดำเนินการโดยใช้ยุทธวิธีเช่นเดียวกันนี้ แต่ในลักษณะที่รุนแรงกว่า โดยอาศัยกำลังทหารโซเวียตเข้าคุกคามตามบริเวณชายแดนของประเทศเช็คโกสโลวาเกียนั่นเอง ในหลายประเทศของยุโรปตะวันออกนอกจากจะมีการใช้กำลังทหารของโซเวียตแล้ว ยังมีการใช้คณะกรรมการที่สามารถจะเข้าไปบริหารกิจการภายในในลักษณะที่ตนต้องการอีกด้วย หรืออีกนัยหนึ่งโซเวียตในยุโรปตะวันออกได้กำความได้เปรียบไว้ทุกทาง ฝ่ายเราไม่สามารถจะป้องกันประเทศเหล่านั้นให้พ้นจากการยึดครองของโซเวียตทีละน้อย ๆ ได้ การดำเนินการดังกล่าวนี้โซเวียตคงใช้ยุทธวิธีของเลนิน โดยการแทรกซึมเข้าไปในชนกลุ่มใหญ่ เข้ายึดอำนาจแล้วก็ทำลายชนกลุ่มน้อยเสีย
..........ต่อไปจะได้กล่าวถึงปัญหาทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของคอมมิวนิสต์ในปัจจุบัน และใครจะชี้ให้เห็นว่า ยุทธวิธีในปัจจุบันนี้ก็สืบเนื่องมาจากยุทธวิธีของเลนิน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นนั่นเอง
..........นอกเหนือไปจากยุทธวิธีของเลนินแล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ๆ ในยุทธวิธีที่คอมมิวนิสต์ได้นำมาใช้ในประเทศต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลมาจากความอ่อนตัวและความสามารถในการปรับตัวของพรรคคอมมิวนิสต์นั่นเอง เราคงจำได้ว่า หลักพื้นฐานอันหนึ่งของเลนิน เกี่ยวกับพรรคคอมมิวนิสต์ก็คือ หลักการข้อที่ว่า “พรรคคอมมิวนิสต์จะต้องมีความอ่อนตัว และสามารถปรับตนให้เข้ากับสถานการณ์ภายในประเทศหรือท้องถิ่นใด ๆ ได้ ” หลักการอันนี้คอมมิวนิสต์ได้นำมาใช้ในแทบทุกแห่งของโลก พรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศต่าง ๆ ของโลกเสรีได้แสดงให้เห็นอยู่เสมอว่า สามารถปรับยุทธวิธีของตนให้เข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ ได้ อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติหรือยุทธวิธีที่สืบเนื่องมาจากเลนินนั่นเอง
..........ตอนนี้ใคร่ขอกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศเสรีต่าง ๆ กับรัฐบาลโซเวียต และกับรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ สถานการณ์ปัจจุบันนับว่าแตกต่างไปจากสถานการณ์ในสมัยที่เลนินยึดครองอำนาจในรัสเซีย และสมัยที่เมาเซตุงยึดอำนาจในจีน ที่ว่าแตกต่างกันนั้นก็คือ ในขณะนี้รัฐบาลคอมมิวนิสต์หลายแห่งและพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีอำนาจทั้งหลายในโลกเสรี ได้พยายามให้ความช่วยเหลือ และการสนับสนุนแก่คอมมิวนิสต์ในทุกโอกาสที่ทำได้
..........มาถึงตอนนี้อยากจะเน้นให้เห็นว่า การอำนวยการหรืออิทธิพลของสหภาพโซเวียตและจีนคอมมิวนิสต์ที่มีต่อคอมมิวนิสต์ในประเทศต่าง ๆ นั้น มีระดับแตกต่างกันออกไป ในบางแห่งการควบคุมเป็นไปอย่างเข้มงวดกวดขัน แต่ในบางแห่งก็แทบจะไม่มีการควบคุมกันเลย จะมีเฉพาะอิทธิพลทางด้านหลักนิยม ซึ่งนำไปใช้กันเท่านั้น
..........ในขณะนี้ หลักยุทธศาสตร์โดยทั่ว ๆ ไปของพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลก น่าจะเป็นดังนี้ คือ ในปัจจุบันคำว่ายุทธศาสตร์มีความหมายกว้างขวางมากเสียจนต้องมีข้อยกเว้น แต่โดยทั่ว ๆ ไปหลักยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลโซเวียตกำหนดไว้สำหรับการปฏิบัติการของคอมมิวนิสต์ก็คือ ขั้นแรก ทำให้ประเทศที่นิยมสหรัฐฯ เป็นกลางเสียก่อน ขั้นที่สอง ทำให้ประเทศเป็นกลางเหล่านั้นหันไปนิยมโซเวียต ขั้นที่สาม ทำให้กลุ่มประเทศนิยมโซเวียตเหล่านั้นเป็นประเทศบริวารคอมมิวนิสต์ต่อไป ที่กล่าวมานี้คือหลักยุทธศาสตร์พื้นฐานของคอมมิวนิสต์ ที่มุ่งจะนำมาใช้กับประเทศที่ด้อยพัฒนาทั้งหลายในปัจจุบัน
..........ตอนนี้ก็มาถึงปัญหาที่ว่า รัสเซีย จีน รวมทั้งประเทศบริวารอื่น ๆ ในยุโรปตะวันออก ได้ให้การสนับสนุนแก่พรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกในรูปใดบ้าง เรื่องนี้นับว่าสำคัญมาก เพราะว่าเป็นสาเหตุให้พรรคคอมมิวนิสต์ในโลกเสรีได้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมีฐานการสนับสนุนอยู่ในโซเวียต และจีน
..........การสนับสนุนประการแรกได้แก่ การที่บรรดาสถานทูตและรัฐบาลต่างๆ ของประเทศดังกล่าวได้ให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน รวมทั้งให้คำแนะนำและการอำนวยการแก่พรรคคอมมิวนิสต์ ทั้งยังได้ให้อาศัยการติดต่อสื่อสารโดยผ่านสายทางการทูตแก่พรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศ และในบางครั้งก็ให้ที่ลี้ภัยในสถานทูตแก่พวกคอมมิวนิสต์เหล่านั้นอีกด้วย
..........การช่วยเหลือในเรื่องต่อไปได้แก่ การที่จีนคอมมิวนิสต์และรัสเซียต่างก็ดำเนินการฝึกให้แก่คอมมิวนิสต์จากโลกเสรีในประเทศของตนอย่างเต็มที่ โซเวียตได้ดำเนินการเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว และจีนคอมมิวนิสต์ก็กำลังเพิ่มการสอนอบรมคอมมิวนิสต์ต่างชาติขึ้นเรื่อย ๆ ดังเช่นปี ค.ศ.๑๙๕๖ ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นที่ปักกิ่ง สำหรับฝึกอบรมนักเรียนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากละตินอเมริกา
..........เรื่องสุดท้าย ทั้งรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ และโซเวียตจะให้ความช่วยเหลือในรูปของนโยบายของประเทศ เช่นกรณีนโยบายทางการค้ากับโบลีเวีย เป็นต้น โซเวียตเคยมีผลประโยชน์และได้ทำการซื้อดีบุกจากโบลีเวียมาแล้ว เนื่องจากดีบุกเป็นสินค้าสำคัญของประเทศนี้ ดังนั้นการช่วยซื้อดีบุกก็เป็นการให้ความช่วยเหลือแก่ พรรคคอมมิวนิสต์ภายในประเทศเหล่านั้นนั่นเอง นอกจากนี้รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ และโซเวียต ยังได้เสนอให้การสนับสนุนทางด้านการเงินและความช่วยเหลือแก่ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายอีกด้วย เราคงจะยังจำกรณีเขื่อนอัสวันในอียิปต์ได้, สหภาพโซเวียตได้ทุ่มเงินเป็นจำนวนนับล้าน ๆ ดอลลาร์รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือในการสร้างเขื่อนเเห่งนี้ ในปัจจุบันโครงการช่วยเหลือของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ทั้งสองได้บังเกิดผลประโยชน์ขึ้นถึงสองประการ คือ ทำให้ประชาชนของประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือเหล่านั้นมีความเห็นอกเห็นใจโซเวียตมากขึ้นประการหนึ่ง และทำให้ฐานะของพรรคคอมมิวนิสต์มีความเเข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีกประการหนึ่ง นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้โซเวียตได้ส่งคนของตนเข้าไปยังประเทศเหล่านั้นในฐานะผู้เชี่ยวชาญทั้งตามความหมายทางเศรษฐกิจ และตามความหมายของคอมมิวนิสต์เองด้วย
..........นอกจากนั้น รัฐบาลคอมมิวนิสต์ทั้งสองยังได้ให้การช่วยเหลือแก่พรรคคอมมิวนิสต์ด้วยการส่งเสริมให้มีการเยี่ยมเยือน และการเเลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศคอมมิวนิสต์กับประเทศต่าง ๆ ในโลกเสรีอีกด้วย
..........ต่อไปจะได้กล่าวถึงยุทธวิธีที่พรรคคอมมิวนิสต์ใช้อยู่ในประเทศต่าง ๆ ของโลกเสรีในทุกวันนี้ ก่อนอื่นขอชี้แจงเสียก่อนว่าคอมมิวนิสต์ไม่ได้นำยุทธวิธีเหล่านี้ทุกข้อมาใช้ในทุก ๆ ประเทศ แต่กล่าวโดยทั่ว ๆ ไปแล้วก็คงเป็นรูปแบบของการใช้นั่นเอง หลักยุทธวิธีข้อใดที่พรรคคอมมิวนิสต์นำมาใช้ และจะใช้ไปในลักษณะใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในท้องถิ่นหรือสถานการณ์ในประเทศนั้น ๆ เป็นสำคัญ เราคงจำกันได้ว่าหลักยุทธวิธีเบื้องต้นประการหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์ตามที่เลนินกำหนดไว้ก็คือ ให้มีความอ่อนตัวและให้สามารถปรับตนให้เข้ากับสถานการณ์ในท้องถิ่นได้ แต่ยุทธวิธีส่วนใหญ่ที่กำลังจะกล่าวถึงนี้ เป็นยุทธวิธีที่ได้นำมาใช้กันในประเทศต่าง ๆ ที่มีคอมมิวนิสต์ปฏิบัติการอยู่
..........ประการเเรก จุดหมาย หรือยุทธวิธีข้อแรกของคอมมิวนิสต์ก็คือ ทำตนให้เป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชนในประเทศนั้นเสียก่อน ในระยะนี้คอมมิวนิสต์จะพยายามระมัดระวังไม่แสดงว่าตนมีจุดมุ่งหมายที่รุนแรงในบั้นปลายรวมอยู่ด้วยเลย คอมมิวนิสต์จะพยายามชักนำให้บุคคลที่มีฐานะเด่น ๆ แต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์หันมาสนับสนุนขบวนการของตน โดยพยายามสร้างบรรยากาศแห่งความน่าเคารพนับถือขึ้น เพื่อจะได้ง่ายแก่การเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไป
..........ประการต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่คอมมิวนิสต์นำมาใช้ทุกหนทุกแห่ง คือ พยายามสร้างความรู้สึกดังต่อไปนี้ขึ้นในหมู่ประชาชน ได้แก่ สันติภาพ ความรักชาติ การพัฒนาทางเศรษฐกิจ การต่อต้านจักรวรรดินิยม มาตรฐานการครองชีพสูงขึ้น และการปฏิรูปที่ดิน นี่คือยุทธวิธีเบื้องต้นของพรรคคอมมิวนิสต์ทุกพรรคในโลกเสรี โดยพยายามย้ำให้เกิดความรู้สึกเหล่านั้นอันเป็นเรื่องที่มีลักษณะชวนให้ประชาชนชอบหรือหลงเชื่อได้ง่าย คอมมิวนิสต์แสดงให้เห็นว่า โครงการเหล่านั้นเป็นโครงการของตนเอง และพยายามทำตนให้มีความเกี่ยวข้องกับโครงการเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ประชาชนเชื่อว่า พรรคคอมมิวนิสต์ คือ ผู้นำหรือผู้ดำเนินการของโครงการต่าง ๆ เหล่านั้น
..........ประการต่อไป คอมมิวนิสต์มักจะกระทำตนเป็นฝ่ายสนับสนุนหรือคัดค้านนโยบายของรัฐบาลเพื่อประชาชน โดยไม่คำนึงถึงว่านโยบายนั้นจะดำเนินการได้หรือไม่ ตามธรรมดารัฐบาลที่มีความรับผิดชอบอยู่นั้นย่อมพยายามจะใช้วิธีการที่รัฐมีอยู่เพื่อสนองความต้องการของประชาชนเท่าที่จะกระทำได้อยู่แล้ว แต่คอมมิวนิสต์จะไม่กระทำเช่นนั้นเลย เช่นมักจะกล่าวว่าเราจะจัดให้มีการรักษาพยาบาลแก่ทุก ๆ คน จะต้องมีการปฏิรูปกรรมสิทธิ์ที่ดิน หรือเราจะต้องมีโรงงานถลุงเหล็ก เป็นต้น อันเป็นการเร่งเร้าให้มีนโยบายซึ่งประชาชนเห็นชอบ แต่เป็นนโยบายที่ไม่สามารถจะดำเนินการจริง ๆ ได้ เพราะว่าประเทศที่เกี่ยวข้องนั้น ๆ ไม่มีเครื่องมือในทางเศรษฐกิจที่จะดำเนินการเช่นนั้นได้
..........ประการต่อไป คอมมิวนิสต์จะพยายามจัดตั้ง แทรกซึม หรือใช้ประโยชน์จากกลุ่มชนต่างๆ ในประเทศอยู่เสมอ ในตอนแรกอาจจะมุ่งกระทำต่อสหพันธ์กรรมกร เพื่อจัดตั้งชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมาก่อนก็ได้ อันนี้ก็เป็นไปตามหลักยุทธวิธีของเลนิน แล้วก็จะใช้ความพยายามเช่นเดียวกันนี้กับกลุ่มชนทุกกลุ่มที่มีอยู่ในประเทศ ด้วยการส่งสมาชิกเข้าร่วมในขบวนการต่าง ๆ เช่น ขบวนการเยาวชน ขบวนการนักศึกษา สมาคมสตรี หรือสหพันธ์การค้า เป็นต้น ถัดจากนั้นคอมมิวนิสต์ก็จะพยายามดำเนินการภายในเพื่อไต่ขึ้นสู่อำนาจเสียเอง แล้วก็ใช้กลุ่มชนเหล่านั้นเป็นเครื่องมือในการบรรลุจุดหมายปั้นปลายของตนได้ คอมมิวนิสต์เหล่านี้มักจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเสมอ เพราะว่าพวกนี้ทำงานหนัก และมีการจัดที่ดี และแฟ้นดีมาก เช่นคอมมิวนิสต์ที่เป็นเพียงชนกลุ่มน้อยในสหพันธ์แรงงาน แต่ด้วยการจัดที่ดี และการทำงานอย่างขะมักเขม้นก็มักจะขึ้นมีอำนาจในสหพันธ์นั้น ๆ เสมอ ดังมีตัวอย่างมาแล้วหลายกรณี เช่นในกรณีที่คอมมิวนิสต์เข้าร่วมประชุม คอมมิวนิสต์ก็จะพยายามถ่วงเวลาการประชุมให้ยืดเยื้อออกไปเป็นหลาย ๆ ชั่วโมง จนกระทั่งคนงานส่วนใหญ่จำต้องทยอยกันกลับไป แล้วพวกคอมมิวนิสต์ก็สามารถเสนอข้อเรียกร้องหรือนโยบายของตนที่พวกรักประชาธิปไตยไม่เห็นด้วยได้
..........ประการต่อไปก็คือ การใช้การโฆษณาชวนเชื่อด้วยสื่อมวลชนทั้งปวงที่มีอยู่ เช่น วิทยุกระจายเสียง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัสเซีย หรือจีน ถ้าทำได้) หนังสือพิมพ์ วารสาร สิ่งพิมพ์ และภาพยนตร์ เป็นต้น เราควรสังเกตว่านี่คือหลักยุทธวิธีที่สำคัญประการหนึ่งของเลนิน ที่กล่าวว่า “จงใช้การโฆษณาชวนเชื่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์ทุกแห่งก็กำลังดำเนินการเช่นนี้ทั้งสิ้น
..........ถัดจากนั้นก็จะเป็นการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นในประเทศนั้นอย่างเปิดเผย แต่ถ้าได้มีการจัดตั้งอยู่เดิมแล้วก็กระทำให้เป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเสริมสร้างให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พรรคต่าง ๆ เหล่านี้จะมีหลักการจัดพรรคเช่นเดียวกับหลักที่เลนินได้วางไว้ทุกประการ ด้วยเหตุนี้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นฝ่ายที่มีการจัดที่ดีกว่า และทำงานหนักกว่า จึงสามารถดำเนินการได้ผลมากกว่าฝ่ายที่มีเสียงข้างมากซึ่งขัดขวางตนเสียอีก
..........ยุทธวิธีอีกประการหนึ่ง ได้แก่ การแทรกซึมเข้าไปในสำนักงานและองค์การต่าง ๆ ของรัฐบาล คอมมิวนิสต์จะพยายามแทรกตัวเข้าไปในวงงานที่มีความสำคัญต่อการมีอำนาจ เพื่อผลในการปฏิวัติของตนในขั้นต่อไป ตัวอย่าง เช่น มุ่งแทรกซึมเข้าไปในกำลังตำรวจ กำลังป้องกันภายใน ระบบการคมนาคม หรือในกองทัพบก เป็นต้น แหล่งต่าง ๆ เหล่านี้นับว่าเป็นเป้าหมายหลัก เพราะว่าในกรณีที่จะทำการปฏิวัติ แหล่งดังกล่าวจะเป็นกำลังสำคัญที่จนำชัยชนะมาสู่ฝ่ายตนได้
..........ประการต่อไป คอมมิวนิสต์จะพยายามหาทางให้ประชาชนก่อการจราจลวุ่นวายขึ้นในทุกโอกาสที่เห็นว่าเหมาะสม เช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโบโกต้า ก็ดี ในคาราคัส ก็ดี และในโตเกียว ก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำของคอมมิวนิสต์ทั้งสิ้น เฉพาะในโตเกียวเมื่อครั้งประธานาธิบดี ไอเซนเฮาว์ กำหนดจะมาเยือนญี่ปุ่น คอมมิวนิสต์ได้ก่อความวุ่นวายรบกวนผู้แทนของประธานาธิบดีที่โตเกียว จนเป็นเหตุให้ประธานาธิบดีต้องยิกเลิกการมาเยือนญี่ปุ่นในครั้งนั้น เหตุการณ์เช่นนี้นับได้ว่าเป็นความปราชัยทางการทูตของสหรัฐอเมริกาที่เห็นได้ชัดทั้งนี้ก็โดยการดำเนินการของคอมมิวนิสต์เพียงกลุ่มน้อยที่สามารถกระทำให้ชาวญี่ปุ่นที่บริสุทธิ์ตื่นตัวมากจนสามารถนำการเดินขบวนประท้วงผู้แทนของประธานาธิบดีได้
..........ประการต่อไปก็ได้แก่การจัดตั้งหน่วยกำลังของตนขึ้น นี่ก็เป็นหลักยุทธวิธีเบื้องต้นของเลนิน อีกข้อหนึ่ง ซึ่งได้มีส่วนเข้ามาพัวพันกับพวกเราเป็นอันมาก เมาเซตุง ได้เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า อำนาจนั้นเกิดจากกระบอกปืน และคอมมิวนิสต์ก็เชื่อเช่นนั้น เลนิน ได้กล่าวว่า องค์การจัดของคอมมิวนิสต์ทุกแห่งจะต้องมีกำลังทหารของตนเองด้วย บรรดาคอมมิวนิสต์ในปัจจุบันจึงมีกำลังเหล่านี้พร้อมที่จะก่อความวุ่นวาย ทำการปฏิวัติ หรือทำการรบแบบกองโจรได้ เราคงจะจำการใช้กำลังทหารเช่นนี้ในบางประเทศได้เป็นอย่างดี เริ่มตั้งแต่ในประเทศจีน กรีซ อินโดจีน และมาเลเซีย ซึ่งเหตุการณ์ในประเทศต่าง ๆ เหล่านี้นับว่าเป็นตัวอย่างอันดีของการใช้กำลังทหารที่พรรคคอมมิวนิสต์จัดตั้งขึ้นทั้งสิ้น
..........นอกจากนี้ ยุทธวิธีอีกประการหนึ่งก็คือ การพยายามขึ้นครองอำนาจโดยอาศัยวิธีทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น การแสวงหาชัยชนะในการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นไปโดยยุติธรรมหรือไม่ก็ตาม คอมมิวนิสต์มักจะใช้วิธีการที่เรียกว่า “ยุทธวิธีแนวร่วม” (UNITED FRONT TACTIC) หมายความว่าคอมมิวนิสต์จะเข้าร่วมกับพรรคเสรีประชาธิปไตย เพื่อความมุ่งหมายให้ได้รับการเลือกตั้ง และขึ้นครองอำนาจโดยอาศัยพรรคประชาธิปไตยนั้นเอง เมื่อได้ขึ้นครองอำนาจแล้วก็จะบ่อนทำลายรัฐบาล แล้วหาทางทำลายพรรคประชาธิปไตยนั้นเสียเอง ในเรื่องนี้ก็เหมือนกันกับหลักนิยมของจีนคอมมิวนิสต์ที่กล่าวว่า “ร่วมมือกับฝ่ายข้างมากโจมตีฝ่ายข้างน้อย แบ่งแยกข้าศึกออกจากกัน แล้วทำลายเสียทีละส่วน” แนวความคิดอันนี้ก็คือ การ่วมมือเป็นการชั่วคราวกับพรรคการเมืองที่ใหญ่กว่า เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยอาศัยข้อตกลงและความร่วมมือนั้น ๆ แล้วก็หาโอกาสทำลายพรรคการเมืองเหล่านั้นเสียจากภายใน
..........ยุทธวิธีอีกประการหนึ่งได้แก่ การเข้าแทรกแซงและยึดอำนาจในพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายชาตินิยม และกำลังเป็นพรรคของรัฐบาลอยู่ในขณะนั้น วิธีการอันนี้คอมมิวนิสต์ได้นำมาใช้อย่างได้ผลดีมาแล้วในกรณีของ กัวเตมาลา และคิวบา ซึ่งนับว่ามีความเหมาะสมโดยเฉพาะกับประเทศเล็ก ๆ ที่มีขบวนการชาตินิยมที่รุนแรง แต่ยังไม่มีอำนาจในประเทศ คอมมิวนิสต์จะร่วมในขบวนการดังกล่าวก้าวขึ้นสู่อำนาจโดยการยึดอำนาจมาทีละน้อย ๆ ดังที่เกิดขึ้นแล้วในกัวเตมาลา และกำลังเกิดขึ้นอีกในคิวบา
..........ท้ายที่สุด เมื่อคอมมิวนิสต์เห็นว่าตนอยู่ในฐานะที่จะทำได้เเล้ว คอมมิวนิสต์จะรวบรวมอำนาจของตนขึ้น แล้วทำลายศัตรูของตนเองอย่างไม่ปราณีทีละส่วนเรื่อยไป คอมมิวนิสต์จะไม่ยอมเปิดโอกาสให้ศัตรูรวมกันเป็นกลุ่มก้อนได้เลย แต่จะทำลายฝ่ายตรงกันข้ามทีละพวกเหมือนดัง “ยุทธวิธีไส้กรอก” ของราโกซี นั่นเอง
..........ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า เป้าหมายอันสำคัญของขบวนการคอมมิวนิสต์สากลในปัจจุบันได้แก่ประเทศต่าง ๆ ที่ด้อยพัฒนา เหตุที่เป็นดังนี้ก็เพราะทั้งรัสเซีย และจีนคอมมิวนิสต์มีความเชื่อในสิ่งดังต่อไปนี้ ประการแรกก็คือ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีอยู่มากที่สุดในประเทศดังกล่าว เนื่องจากประเทศเหล่านี้ส่วนมากกำลังต้องการการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และมีความหลงเชื่อในความเจริญทางด้านอุตสาหกรรมของโซเวียต และจีนคอมมิวนิสต์เป็นอย่างยิ่ง
..........ประการต่อไป การที่ประชาชนถูกเร่งรัดให้มีความคาดหวังสูงขึ้น ย่อมจะก่อให้เกิดความไม่พอใจและเกิดความต้องการซึ่งรัฐไม่อาจสนองให้ได้ คอมมิวนิสต์จะฉวยโอกาสนี้ก้าวขึ้นสู่อำนาจโดยให้คำมั่นสัญญาที่เป็นไปไม่ได้ต่าง ๆ และเมื่อมีอำนาจแล้วก็จะลืมสัญญาเหล่านั้นเสีย ประชาชนก็จะมีฐานะเลวยิ่งกว่าเดิมลงไปอีก สิ่งที่ประชาชนเก็บหอมรอมริบไว้ก็จะถูกยึดไปเพื่อพัฒนาการอุตสาหกรรมของประเทศ
..........โซเวียตและจีนคอมมิวนิสต์เชื่อว่า ประเทศที่ด้อยการพัฒนาเป็นเป้าหมายที่เหมาะสม เนื่องจากมีความไม่มั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจ และทางสังคม จุดอ่อนต่าง ๆ ทางสังคมอันได้แก่ ความแตกต่างกันมากในเรื่องฐานทางการเงิน ความยากจน การฉ้อราษฎร์บังหลวง การขัดแย้งกั้นระหว่างชนชั้นต่าง ๆ การขาดการศึกษา การดำรงชีพที่ต่ำและการขาดการรักษาพยาบาล ซึ่งปรากฏอยู่ในกลุ่มชนส่วนใหญ่ของประเทศด้อยพัฒนาเหล่านั้น ย่อมจะเปิดโอกาสให้คอมมิวนิสต์เข้าแทรกซึมและหาทางยึดอำนาจได้ง่าย ส่วนจุดอ่อนในทางเศรษฐกิจ เป็นต้นว่าผลิตผลต่ำ วิธีการทางเทคนิคล้าสมัย การขาดเงินทุนและความรู้ความชำนาญ ล้วนเป็นสิ่งที่ประเทศเหล่านี้ขาดเเคลน และกำลังใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้มา ก็นับได้ว่าเป็นการล่อแหลมต่อความมิวนิสต์ได้เหมือนกัน ส่วนจุดอ่อนทางการเมือง เช่น การปกครองด้วยชนกลุ่มน้อย การปกครองด้วยระบอบเผด็จการ, หรือการขาดความเลื่อมใสในคณะรัฐบาล เหล่านี้เป็นช่องทางให้คอมมิวนิสต์ฉวยโอกาสได้เช่นเดียวกัน
..........จุดอ่อนในด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ หรือการเมืองก็ตาม คอมมิวนิสต์เชื่อว่าเป็นบรรยากาศที่เหมาะแก่การแทรกแซง และการยึดอำนาจของตน ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า สิ่งที่คอมมิวนิสต์เชื่อนั้นเป็นความจริง เพราะปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เกื้อกูลแก่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เป็นอย่างดี และคอมมิวนิสต์กำลังประสบความสำเร็จในประเทศด้อยพัฒนาหลายประเทศ ทั้งนี้ก็เพราะรู้จักนำจุดอ่อนเหล่านี้มาใช้เพื่อส่งเสริมจุดหมายบั้นปลายของตนได้อย่างถูกต้อง
..........นอกจากนั้น คอมมิวนิสต์ยังได้อาศัยความรู้สึกรักชาติ ซึ่งมักจะมีอยู่อย่างรุนแรงในประเทศด้อยพัฒนามาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายตนอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมมาก่อน เช่น ประเทศละตินอเมริกา คอมมิวนิสต์ได้นำความรู้สึกที่ไม่พอใจ และความรู้สึกในทางต่อต้านสหรัฐฯ ที่มีอยู่ในกลุ่มชนในบริเวณนั้นมาใช้อย่างได้ผลดี เป็นต้น
..........ยิ่งไปกว่านั้น คอมมิวนิสต์เชื่อว่าสถานการณ์ในประเทศเหล่านี้มีลู่ทางที่จะเป็นผลดีแก่ฝ่ายตนเพิ่มขึ้น เพราะว่าชาวชนบทเริ่มอพยพเข้าไปอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ มากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องที่อยู่อาศัย รวมทั้งการขยายตัวทางด้านการอุตสาหกรรมและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ก็จะช่วยกันผลิตนักศึกษา ผู้มีความรู้ และผู้ใช้แรงงานเพิ่มขึ้น ซึ่งพวกเหล่านี้ก็คือกลุ่มชนที่มีความล่อแหลมสูงสุดต่อการแทรกแซงของคอมมิวนิสต์นั่นเอง
..........ประการสุดท้าย ในประเทศเหล่านี้มีลักษณะเหมาะสมเป็นพิเศษต่อการชักนำให้หลงเชื่อในอุดมคติอันเลือนรางตามหลักนิยมของมาร์ค ความเชื่อถือที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถบรรลุถึงความดีสุดยอดได้ กับแนวความคิดที่ว่า มนุษย์นั้นสามารถมีความสุขบนพื้นพิภพได้มากกว่านี้ จัดว่าเป็นแนวความคิดที่ทำให้ผู้คนเป็นจำนวนมากหลงเชื่อได้ง่าย และก่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจต่อคอมมิวนิสต์มากยิ่งขึ้น
ในปัจจุบัน เป้าหมายของคอมมิวนิสต์ในละตินอเมริกา เฉพาะเป้าหมายหลัก ๆ ได้แก่ สหพันธ์การค้า การปฏิรูปทางการเกษตร การแทรกซึมเข้าไปในวงการรัฐบาล และการแทรกซึมต่อกำลังทหารของต่างชาติ ความจริงเเล้วประชาชนที่มีความรู้สึกต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรงก็มีอยู่เป็นจำนวนมากในละตินอเมริกา และอุดมคติของประชาธิปไตยนั้นก็ยังมีอยู่ทั่วไป นอกจากนั้นประชาชนยังได้รู้ถึงลักษณะอันแท้จริงของคอมมิวนิสต์มากขึ้น อันเป็นผลเนื่องจากคอมมิวนิสต์เข้ายึดอำนาจในกัวเตมาลา และในคิวบา แม้กระนั้นก็ตาม โซเวียตและจีนคอมมิวนิสต์ก็ยังถือว่าประเทศด้อยพัฒนาของละตินอเมริกาและที่อื่น ๆ ในโลกเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมและได้เปรียบของตนอยู่นั่นเอง
..........ต่อไปจะได้กล่าวถึงความขัดแย้งกันระหว่างจีนคอมมิวนิสต์และโซเวียต และผลกระทบกระเทือนที่มีต่อยุทธวิธีของคอมมิวนิสต์ในโลกเสรี เราคงทราบแล้วว่าข้อขัดแย้งระหว่างโซเวียต และจีนคอมมิวนิสต์ได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และเมื่อไม่นานมานี้ได้แสดงออกมาให้เห็นอย่างเปิดเผย อันเป็นจุดอ่อนอย่างร้ายแรงของขบวนการคอมมิวนิสต์เอง ผลของการแตกแยกระหว่างโซเวียตและจีนคอมมิวนิสต์เกี่ยวกับประเทศด้อยพัฒนานั้น อาจจะมีความสำคัญมาก และอาจจะเป็นผลดีแก่ฝ่ายเราก็ได้
..........เราคงเห็นแล้วว่า จีนคอมมิวนิสต์กำลังเริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในขบวนการคอมมิวนิสต์สากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียอาคเนย์ และในละตินอเมริกา จีนคอมมิวนิสต์อ้างว่าการปฏิวัติของตน คือแบบอย่างของการปฏิวัติสำหรับประเทศด้อยพัฒนา กล่าวคือ ประเทศด้อยพัฒนาเหล่านั้นมีสภาพคล้ายคลึงกับประเทศจีน เมื่อสมัยที่คอมมิวนิสต์ขึ้นครองอำนาจมากกว่าสมัยที่โซเวียตทำการปฏิวัติ ซึ่งแนวความคิดอันนี้ถ้าพิจารณาดูแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเชื่อถืออยู่มาก ผู้นำคอมมิวนิสต์ในละตินอเมริกาผู้หนึ่ง ชื่อ อารีส เมนดี (ARISMENDI) ได้ยอมรับว่า ประสบการณ์ของจีนคอมมิวนิสต์นั้นมีความเหมาะสมกับละตินอเมริกามากกว่าของโซเวียต ซึ่งโซเวียตจะต้องไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้อย่างแน่นอน เพราะโซเวียตไม่ต้องการเห็นการควบคุมเหนือขบวนการของคอมมิวนิสต์สากลของตนต้องเสื่อมโทรมลง หรือต้องสูญเสียไปให้แก่จีนคอมมิวนิสต์ ดังนั้นจึงเกิดการขัดแย้งกันขึ้น
..........นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างกันในเรื่องยุทธวิธีที่นำมาใช้อีก ถ้าจีนคอมมิวนิสต์เป็นฝ่ายที่มีอิทธิพลต่อพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศ ยุทธวิธีที่นำมาใช้ก็เป็นแบบหนึ่ง แต่ถ้าโซเวียตเป็นฝ่ายมีอิทธิพล ยุทธวิธีก็จะแตกต่างไปเป็นอีกแบบหนึ่ง
..........ความแตกต่างกันเบื้องต้นมีอยู่สองประการ คือ
..........ประการแรกโซเวียตวางรากฐานของการมีอำนาจไว้กับชนชั้นกรรมาชีพและหวังจะให้พรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกปฏิบัติตามในลักษณะเดียวกัน ส่วนจีนคอมมิวนิสต์ยึดถือชาวไร่ชาวนาเป็นหลักในการสร้างอำนาจของตน ดังนั้นวิธีเริ่มดำเนินการของโซเวียตและจีนคอมมิวนิสต์จึงแตกต่างกันเสียเเล้วตั้งแต่เริ่มแรก ประการที่สอง โซเวียตเชื่อว่าการดำเนินการโดยให้การสนับสนุนแก่พรรคชาตินิยมจะให้ผลดี แม้ว่าจะต้องยอมเสียสละพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศนั้น ฯ ไปก่อน เป็นการชั่วคราวก็ตาม แต่จีนคอมมิวนิสต์กลับเห็นว่าจะต้องดำเนินการโดยให้การสนับสนุนแก่พรรคคอมมิวนิสต์ตั้งแต่เริ่มต้น ความแตกต่างในเรื่องความคิดเห็นดังกล่าวนี้จึงก่อให้เกิดการขัดแย้งซึ่งกันและกัน ดังตัวอย่างเช่น นโยบายของโซเวียตที่มีต่ออียิปต์ก็คือ ให้การสนับสนุนประธานาธิบดี นัสเซอร์ ผู้นำฝ่ายชาตินิยม ถึงแม้ว่า นัสเซอร์ จะเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการกวาดล้างพรรคคอมมิวนิสต์ของอียิปต์ในขณะนั้นก็ตาม ส่วนหลักนิยมของจีนคอมมิวนิสต์นั้นเห็นว่าควรให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ ทั้ง ๆ ที่พรรคคอมมิวนิสต์ยังมีความอ่อนแอมาก หรือไม่มีหวังจะขึ้นสู่อำนาจได้
..........จุดสำคัญในเรื่องนี้ก็คือ ความแตกแยกระหว่างจีนคอมมิวนิสต์และโซเวียตรัสเซียอาจจะให้ความหวังแก่เราได้บ้างในทางที่จะทำให้ขบวนการคอมมิวนิสต์สากลอ่อนแอลง เพราะว่าจะเกิดการแตกแยกกันขึ้นภายในพรรคคอมมิวนิสต์ด้วยกันเอง ระหว่างพรรคต่อพรรค และระหว่างบุคคลที่เป็นคอมมิวนิสต์ในประเทศต่าง ๆ ได้
..........ตอนนี้ขอสรุปอย่างสั้น ๆ ว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามที่สำคัญและถาวรต่อวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเรา ทั้งนี้ด้วยเหตุผลสำคัญสามประการ คือ.-
..........๑. ความเป็นศัตรูต่อโลกเสรี อันเป็นหลักสำคัญที่คอมมิวนิสต์ต้องการจะทำลายเรา
..........๒. หลักการจัดพรรคการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพซึ่ง เลนิน ได้วางรากฐานไว้ และกำลังถูกนำมาใช้ในการจัดพรรคคอมมิวนิสต์ทุกแห่ง
..........๓. หลักนิยมทางยุทธวิธีที่ดี ซึ่ง เลนิน เป็นผู้คิดขึ้น เมาเซตุง เป็นผู้ดัดแปลง และถูกนำมาใช้ในการขึ้นครองอำนาจ
..........อย่างไรก็ดีระบอบคอมมิวนิสต์จะเป็นภัยอันตรายร้ายแรงที่สุดเมื่อกำลังทหารของจีนคอมมิวนิสต์ หรือ ของรัสเซียร่วมอยู่ด้วย นี่คือวิธีการในการขึ้นครองอำนาจในยุโรปตะวันออกและในอินโดจีนตอนเหนือของคอมมิวนิสต์ หรืออีกนัยหนึ่ง ถึงแม้ว่าคอมมิวนิสต์จะมียุทธวิธีและการจัดพรรคการเมืองที่ดีอยู่แล้ว ก็ยังไม่สามารถขึ้นครองอำนาจได้ เว้นแต่จะใช้กำลังทหารเข้าสนับสนุนและอาศัยสถานการณ์ที่เกื้อกูลภายในประเทศนั้น ๆ เป็นเครื่องช่วย ดังนั้นประเด็นที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ วิธีเอาชนะต่อคอมมิวนิสต์ได้แก่ การก่อให้เกิดสภาพการที่จะไม่อำนวยต่อการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ และไม่ให้คอมมิวนิสต์นำจุดอ่อนต่าง ๆ ของประเทศมาใช้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนได้
..........ประการที่สอง เราจะต้องกำจัดข้อผิดพลาดที่มีอยู่ในผู้นำฝ่ายชาตินิยมที่พยายามจะใช้คอมมิวนิสต์เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายบั้นปลายแล้ว จะหาทางปลีกตัวหรือทำลายเสียในภายหลัง ท่านคงจะจำนิยายเรื่องผู้หญิงที่ขี่ไปบนหลังเสือ แล้วในที่สุดก็ต้องเสียท่าเสือ เรื่องทำนองนี้มักจะเกิดขึ้นแก่บุคคลส่วนมากที่พยายามจะใช้คอมมิวนิสต์เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของตน
..........ประการสุดท้าย ซึ่งนับว่าสำคัญที่สุดก็คือ ระบอบคอมมิวนิสต์จะเป็นภัยร้ายแรงอย่างยิ่งในเมื่อมีจุดอ่อนทางสังคม ทางเศรษฐกิจ และทางการเมืองเกิดขึ้น จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการดำเนินการต่อต้านคอมมิวนิสต์ก็คือ พยายามแก้ไขจุดอ่อนต่าง ๆ ดังกล่าวเสียก่อนที่คอมมิวนิสต์จะนำไปใช้ขยายผลได้ และก่อนที่คอมมิวนิสต์จะก่อตั้งกองกำลังติดตั้งอาวุธได้สำเร็จ “กันไว้ดีกว่าแก้” นับว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ การแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมของเราก็คือ ให้มีการจัดที่ดีขึ้น และทำงานให้หนักกว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์


-----------------------------------------------

วิชาการปราบปรามการก่อความไม่สงบ

เอกสารของโรงเรียนเสนาธิการทหารบก


วิชาการปราบปรามการก่อความไม่สงบ
การศึกษาเฉพาะกรณีสาธารณรัฐเวียดนาม

----------------
......ผมได้พบเอกสารเก่าฉบับนี้จากตำราโรงเรียนเสนาธิการทหารบกใน พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่แจกจ่ายให้กับนายทหารไทยในหลายหลักสูตร เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการก่อความไม่สงบ ( Insurgency ) ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากในสมัยนั้น ภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์ที่แพร่กระจายเข้ามาในอินโดจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้กองทัพไทยต้องขวนขวายหาความรู้เพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์
.......ผมเห็นว่าเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่ามาก ที่จะทำให้ชนรุ่นหลังในประเทศไทย ได้รู้ซึ้งถึงความขัดแย้งที่ชาวตะวันตกเข้ามาบงการ ยุแหย่และ เกิดการประหัตประหารกันเองของชนชาติเดียวกัน และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทย ทำให้คนไทยต้องลุกขึ้นมาจับอาวุธต่อสู้กันเองยาวนานเกือบ ๔ ทศวรรษ
.......ผมตระหนัก รำลึกถึงบรรพบุรุษของชาติ พลเรือน ตำรวจ ทหาร และประชาชนที่ปกป้องบ้านเมืองนี้ไว้ด้วยชีวิต จึงขอเรียบเรียง รวบรวมนำมาและ เปิดเผยใน blog ของผม เพื่อเป็นวิทยาทานครับ
.......มูลเหตุอันสำคัญทำให้เกิดการก่อความไม่สงบขึ้นในเวียดนามนั้น ก็เนื่องมาจากการดิ้นรนของประชาชนเวียดนามส่วนน้อยที่ต้องการที่จะนำเอกราชมาสู่ประเทศเวียดนาม และขับฝรั่งเศสผู้ซึ่งแสวงประโยชน์ในเวียดนามให้ออกไป
.......จากประวัติศาสตร์เราจะเห็นได้ว่าฝรั่งเศสได้เข้ามามีอำนาจอยู่ในแหลมอินโดจีนและเข้าครอบครองประเทศเวียดนามมาเป็นเวลาช้านาน และก็ได้ใช้ระบบการปกครองต่อประเทศเวียดนามอย่างกดขี่ทารุณ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีประชาชนชาวเวียดนามกลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันขึ้น และได้พยายามดิ้นรนหาหนทางที่จะนำเอกราชมาสู่ประเทศของตนตั้งแต่ในสมัยที่ฝรั่งเศสยังครอบครองอยู่ แต่ยังไม่ทันที่ประชาชนกลุ่มนี้จะดำเนินการต่อฝรั่งเศสให้บังเกิดผลอะไรมากนัก ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ขึ้น
.......ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นได้เข้ามายึดครองแหลมอินโดจีนทั้งหมด ประเทศเวียดนามก็เปลี่ยนจากการอยู่ใต้อำนาจของฝรั่งเศสมาอยู่ใต้อำนาจการปกครองของญี่ปุ่น ในสมัยที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดครองประเทศเวียดนามนี้ ประเทศเวียดนามก็ยังมิได้แยกออกเป็นเวียดนามเหนือและใต้ แต่ก็ยังรวมกันอยู่เป็นประเทศเวียดนามภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ในระหว่างที่ญี่ปุ่นปกครองประเทศเวียดนามอยู่นั้น ประชาชนชาวเวียดนามที่ต้องการเอกราช ซึ่งได้ก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยที่ฝรั่งเศสยังปกครองอยู่ ก็ได้หันเหความตั้งใจที่จะต่อต้านฝรั่งเศสมาต่อต้านญี่ปุ่น การต่อต้านของประชาชนชาวเวียดนามที่ต้องการเอกราชกลุ่มนี้ ได้ดำเนินการกับญี่ปุ่นเรื่อยมา ตั้งแต่ต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ก็ไม่สามารถที่จะนำเอกราชมาสู่ประเทศเวียดนามได้สำเร็จ จนกระทั่งญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ ๒ ในตอนที่ญี่ปุ่นยอมแพ้นั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้าไปปลดอาวุธญี่ปุ่นในอินโดจีน และ ฝ่ายสัมพันธมิตรก็มอบอำนาจให้ฝรั่งเศสปกครองอินโดจีนต่อไป และประเทศเวียดนามก็ตกอยู่ในอำนาจการปกครองของฝรั่งเศสตั้งแต่นั้นมา ในระหว่างที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนามครั้งที่ ๒ นี้ ประชาชนชาวเวียดนามที่ต้องการเอกราชนั้น ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่แล้ว ประกอบกับตอนที่ญี่ปุ่นจะยอมแพ้นั้น ญี่ปุ่นได้มอบอาวุธเป็นจำนวนมากให้กับเวียดนามกลุ่มนี้เพื่อใช้ต่อต้านกับฝรั่งเศส เพราะฉะนั้นเมื่อฝรั่งเศสเข้ามามีอำนาจปกครองเวียดนามเป็นครั้งที่ ๒ ประชาชนชาวเวียดนามกลุ่มนี้จึงไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของฝรั่งเศส และได้พยายามทุกวิถีทางที่จะรวมกำลังกันเพื่อใช้ต่อต้านกับฝรั่งเศส และนำเอกราช มาสู่เวียดนาม

.....การดำเนินการก่อความไม่สงบนั้น เวียดนามได้ดำเนินการเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้.-

.....ขั้นที่ ๑ เป็นการต่อต้านญี่ปุ่นที่ยึดครองประเทศ ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ เริ่มต้นด้วยประชาชนชาวเวียดนามกลุ่มหนึ่งได้เดินทางเข้าไปรับการฝึกการรบแบบกองโจรในประเทศจีน เพื่อต่อต้านญี่ปุ่น และได้กลับมาสู่เวียดนามในปี ค.ศ.๑๙๔๔ เพื่อจัดตั้งหน่วยกำลังรบขนาดเล็ก ๆ เพื่อต่อสู้กับญี่ปุ่น
.....ขั้นที่ ๒ เป็นการปฏิบัติในระยะเวลาที่ญี่ปุ่นต้องพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ขั้นนี้พวกก่อความไม่สงบของประเทศเวียดนามซึ่งมีโฮจิมินห์เป็นหัวหน้า ได้อาวุธจากญี่ปุ่นที่ยอมจำนนเป็นจำนวนมาก และประชาชนชาวเวียดนามก็ให้การสนับสนุนและมีความนิยมชมชอบในตัวโฮจิมินห์เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะเขาถือว่าโฮจิมินห์เป็นผู้กอบกู้เอกราช และในระยะนี้เองอำนาจในการปกครองของจักรพรรดิเบาได๋ก็เริ่มเสื่อม เพราะประชาชนหันไปสนใจโฮจิมินห์






โฮจิมินห์


.....ในที่สุดจักรพรรดิ์เบาได๋ก็ต้องยอมสละราชบัลลังก์ และได้มอบสิทธิ์ให้โฮจิมินห์เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลของเวียดนามขึ้น และเมื่อฝรั่งเศสได้เข้าไปครอบครองเวียดนามหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในตอนนี้โฮจิมินห์ซึ่งเป็นผู้นิยมลัทธิชาตินิยมอย่างรุนแรงจึงไม่ยอมขึ้นกับฝรั่งเศส และพร้อม ๆ กันนั้นก็ได้จัดตั้งหน่วยกองโจรขึ้นต่อต้านฝรั่งเศส เพื่อความมุ่งหมายแต่เพียงนำเอกราชที่แท้จริงมาสู่เวียดนาม และขับไล่ฝรั่งเศสให้ออกไปจากเวียดนามเท่านั้น
.....ขั้นที่ ๓ คือ ขั้นพัฒนากำลังรบของโฮจิมินห์ เนื่องจากการจัดกำลังเป็นหน่วยกองโจรของโฮจิมินห์ในขั้นแรกนั้นทำงานได้ผลดีแต่ก็ไม่สามารถที่จะขับไล่ฝรั่งเศสให้ออกจากประเทศเวียดนามได้ โฮจิมินห์จึงเปลี่ยนวิธีในการดำเนินการใหม่โดยขอกำลังจากจีนมาสนับสนุนและยังส่งกองโจรให้ไปฝึกที่จีนแดงอีกด้วย เมื่อพวกที่ไปฝึกที่จีนกลับมาก็ยิ่งมีกำลังมากขึ้น ซึ่งกองโจรของโฮจิมินห์ในขณะนั้นจะมีทั้งกำลังพลเป็นจำนวนมาก และก็มีอาวุธสนับสนุนเช่นเครื่องยิงลูกระเบิดและปืนใหญ่สนับสนุนในการรบอีกด้วย

เมื่อหน่วยกองโจรมีกำลังคนและอาวุธยุทโธปกรณ์เพียงพอ โฮจิมินห์ก็สั่งให้โจมตีฝรั่งเศสเป็นกลุ่มก้อน ในที่สุดฝรั่งเศสก็ไม่สามารถที่จะต้านทานการบุกของโฮจิมินห์ได้ และก็ได้แตกพ่ายถอยลงมาทางใต้ทุกที ฝรั่งเศสยิ่งถอยกองทัพเวียดมินห์ก็ยิ่งติดตามมา และฝ่ายเวียดมินห์ก็มีจำนวนกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ ปรากฏว่าในขณะนั้นพวกโฮจิมินห์มีกำลังถึง ๖ กองพลปืนเล็ก และมีปืนใหญ่อีก ๑ กองพล ไว้สำหรับสนับสนุน

.....ส่วนประชาชนชาวเวียดนามอื่น ๆ ในขณะนั้นก็จัดตั้งเป็นหน่วยอาสาขึ้นคล้ายหน่วยอาสารักษาดินแดน เรียกว่า หน่วยกำลังประจำภาคของประชาชน มีหน้าที่คอยก่อกวนพื้นที่ในเขตหลังของฝรั่งเศส เพื่อบังคับให้ฝรั่งเศสต้องกระจายกำลังกันออกไป ในปี ค.ศ.๑๙๕๑ จีนได้ให้ยานพาหนะแก่เวียดนาม เพื่อใช้ในการขนส่งกำลังทหารและกิจการส่งกำลังบำรุง ในระยะนี้การรบของโฮจิมินห์มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น

.....ในขั้นที่ ๔ การปฏิบัติการในขั้นนี้ โฮจิมินห์ได้ส่งหน่วยแทรกซึมขนาดใหญ่เข้าปฏิบัติการตามที่ราบที่ฝรั่งเศสยึดครองอยู่ โดยการตั้งฐานปฏิบัติการขึ้นเป็นแห่ง ๆ ทั้งนี้เพราะได้รับการช่วยเหลือจากประชาชนเป็นอย่างดี โดยเข้าทำลายล้างฐานปฏิบัติการทางอากาศของฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟู ซึ่งขณะนั้นฝรั่งเศสมีกำลังอยู่ประมาณ ๑๔ กองพันอิสระ ส่วนโฮจิมินห์นั้นใช้กำลัง ๓ กองพลปืนเล็ก สนับสนุนด้วยปืนใหญ่ ๑ กองพล และกองพันอิสระอีก ๑ กองพัน ฝรั่งเศสได้พยายามต้านทานอยู่ได้ระยะเวลาหนึ่ง แต่แล้วก็ต้องยอมเสียพื้นที่แห่งนี้ให้แก่ฝ่ายโฮจิมินห์ไปใน ๗ พ.ค. ๑๙๕๕ และฝรั่งเศสก็ได้ถอยร่นเข้าไปอยู่ในลาว
.....จากการที่กำลังของโฮจิมินห์ได้รับชัยชนะแก่ฝรั่งเศสอย่างงดงามที่เดียนเบียนฟู ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรตกใจเป็นอย่างมาก เกรงว่าคอมมิวนิสต์จะเข้ายึดครองเวียดนามทั้งหมด จึงได้มีการเสนอให้มีการประชุมเพื่อแบ่งเวียดนามออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ โดยใช้เส้นขนานที่ ๑๗ เป็นเส้นแบ่งเขต ตอนเหนือมอบให้อยู่ในความครอบครองของโฮจิมินห์ ส่วนเวียดนามทางใต้ก็ให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีเพื่อปกครองตนเอง ข้อตกลงนี้ได้กระทำกันที่เจนีวา เมื่อ ๒๑ ก.ค. ๑๙๕๔ ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของเวียดนามใต้ ปรากฏว่า โงดินห์เดียมได้รับชัยชนะอย่างงดงาม โงดินห์เดียม เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีก็ได้ทำการปฎิรูปเวียดนามใต้เป็นการใหญ่ โดยความช่วยเหลือของอังกฤษ และอเมริกา

.....ถึงแม้ว่าเวียดนามจะต้องถูกแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้แล้วก็ตาม แต่ความสงบสุขก็หาได้บังเกิดแก่ประชาชนเวียดนามใต้ไม่ ทั้งนี้ ก็เพราะว่าความมุ่งหมายที่โฮจิมินห์ได้วางไว้ตั้งแต่เริ่มเเรก คือ ต้องการที่จะนำเอกราชมาสู่ประชาชนเวียดนาม และขับไล่จักรวรรดินิยมออกไปนอกประเทศให้หมด แต่เมื่อความมุ่งหมายของโฮจิมินห์ยังไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะถูกประเทศในค่ายประชาธิปไตยเข้ามาดำเนินการขัดขวาง โดยแบ่งแยกเวียดนามออกเป็นสองฝ่าย คือ เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และโฮจิมินห์ก็ได้พยายามที่จะนำเอาความสามารถของตนที่เคยปฏิบัติงานได้ผลเป็นอย่างดีมาแล้วในอดีตมาดำเนินการต่อไปในเวียดนามใต้อีก นั่นก็คือการใช้กองโจรเข้าดำเนินการในเวียดนามใต้ และในขณะนี้รัฐบาลเวียดนามใต้และสหรัฐฯ ก็ยังไม่สามารถที่จะปราบพวกกองโจรของพวกก่อความไม่สงบในเวียดนามใต้ให้ราบคาบลงได้



----------------


การก่อความไม่สงบ

..........อาจกล่าวได้ว่า การกำเนิดของการก่อความไม่สงบในสาธารณรัฐเวียดนามใต้นี้ เริ่มตั้งแต่เมื่อโฮจิมินห์ ได้ใช้พวกเวียดกงเข้าตีเมืองเดียนเบียนฟู ในครั้งนั้นฝรั่งเศสพ้ายแพ้ ฝ่ายโลกเสรีเห็นว่าถ้าขืนปล่อยให้คอมมิวนิสต์รุกต่อไป เวียดนามทั้งประเทศก็จะต้องตกไปอยู่ในกำมือของคอมมิวนิสต์แน่นอน ฝ่ายโลกเสรีจึงจัดการให้มีการเจรจาตกลงหยุดยิงกันขึ้นที่กรุงเจนีวา โดยมีผู้แทนจาก ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย สหรัฐฯ เวียดนาม ลาว และเขมร ผลการประชุมลงเอยด้วยการแบ่งแยกเวียดนามออกเป็น ๒ ประเทศ ตรงเส้นขนานที่ ๑๗ เมื่อวันที่ ๒๑ ก.ค.๒๔๙๗ ได้มีการลงนามในสนธิสัญญาฉบับฝรั่งเศสกับฝ่ายเวียดมินห์ โดยที่ทางรัฐบาลเวียดนามใต้ไม่ยอมลงนามในสนธิสัญญาฉบับนั้นด้วย และสหรัฐอเมริกาซึ่งมีแต่ผู้สังเกตการณ์อยู่ในที่ประชุมก็ไม่ยอมรับรู้

.........เนื่องจากว่าโฮจิมินห์ได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า จะต้องรวมเวียดนามทั้งหมดเข้าไว้ในความปกครองของตนให้ได้ ดังนั้นเมื่อได้แบ่งเวียดนามทั้งหมดเข้าไว้ในความครอบครองของตนให้ได้ ดังนั้นเมื่อได้แบ่งเวียดนามออกเป็น ๒ ประเทศเเล้ว ก็มีการแลกเปลี่ยนพลเมืองตามความสมัครใจ บุคคลชั้นหัวหน้าของเวียดมินห์มิได้อพยพไปอยู่เวียดนามเหนือทั้งหมด บุคคลชั้นหัวหน้าบางคนยังปฏิบัติงานอยู่ในเวียดนามใต้ เพื่อที่จะช่วยพวกเวียดมินห์ในการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งจะมีขึ้นภายหลัง ๒ ปี หลังจากลงนามหยุดยิงในอินโดจีน ซึ่งพวกเวียดมินห์ก็เตรียมที่จะยึดครองประเทศตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญเหมือนกัน แต่แผนนี้ต้องล้มเหลวลงเนื่องจากไม่มีการเลือกตั้งตามความคาดหมาย

เมื่อแผนจะเข้าทางรัฐสภาล้มเหลวลง เวียดมินห์จึงได้ดำเนินการก่อกวนเพื่อล้มรัฐบาล ซึ่งเวียดมินห์เรียกว่า สงครามปลดปล่อยเวียดนามใต้ โดย.-
..........๑. จัดตั้งหน่วยกำลังรบขึ้นในบริเวณที่ห่างไกลคมนาคม และปลอดภัย ประกอบด้วยคอมมิวนิสต์ที่แทรกซึมมาจากเวียดนามเหนือ และที่หลบอยู่ในเวียดนามใต้
..........๒. ให้มีการบ่อนทำลายด้วยการเดินขบวนประท้วงนัดหยุดงาน และก่อความไม่สงบเพื่อปั่นทอนกำลังทางการเมืองของเวียดนามใต้
..........๓. จัดตั้งองค์การแนวร่วมบังหน้าต่าง ๆ หรือองค์การลับ เพื่อทำลายเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล ขณะเดียวกันก็เกลี้ยกล่อมประชาชนให้ร่วมมือและเป็นกำลังฝ่ายตน
..........ในระยะแรก ๆ คือ ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๐๐ – ๒๕๐๑ พวกคอมมิวนิสต์ได้รวมกำลังจัดตั้งเป็นหมวดและเป็นกองทัพขึ้นในแบบขององค์การใต้ดินใช้อาวุธที่ได้ซุกซ่อนไว้พร้อมกันนั้นก็ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ และสนับสนุนให้ก่อการร้ายขึ้นในหมู่ประชาชน

..........ประมาณกลางปี ๒๕๐๒ ขบวนการเวียดกงในเวียดนามใต้ได้เริ่มปฏิบัติการก่อการร้าย สร้างความหวาดกลัวขึ้นตามชนบทในจังหวัดภาคใต้ บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง และจังหวัดทางด้านตะวันออกของนครไซ่ง่อนด้วยการลอบสังหารชีวิตเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของรัฐบาล เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ก่อวินาศกรรม ทำลายเส้นทางคมนาคม สะพาน สิ่งก่อสร้างของรัฐบาล และในปีเดียวกันนี้พวกหัวหน้าสำคัญ ๆ จำนวนหนึ่งได้ถูกส่งเข้ามาปฏิบัติการเพื่อดำเนินงานทางการเมือง และอำนวยการรบในเวียดนามใต้ โดยแทรกซึมเข้ามาตามเส้นทางต่าง ๆ คือ
..........๑. ออกจากเวียดนามเหนือ เข้าสู่ดินแดนลาวใต้ ผ่านเข้าสู่เวียดนามตอนใต้เส้นขนานที่ ๑๗
..........๒.ผ่านออกจากเวียดนามเหนือ เข้าสู่ดินแดนลาวใต้ ผ่านเข้าสู่เขตแดนกัมพูชาแล้วจึงกลับเข้าไปในเวียดนามใต้
..........๓. เส้นทางทะเล อาจขึ้นบกได้ทุกแห่งตั้งแต่ฝั่งทะเลใต้เส้นขนานที่ ๑๗ ลงไปจนถึงท่าเรือในดินแดนกัมพูชาแล้วหวนกลับมาทางบก

..........ตามเส้นทางเหล่านี้ มีการลักลอบส่งกำลังพล และสิ่งอุปกรณ์ให้พวกเวียดกงในเวียดนามใต้ ทำให้มีการก่อความไม่สงบร้ายแรงขึ้น เมื่อเวียดนามเหนือเห็นว่าไม่สามารถที่จะล้มล้างรัฐบาลเวียดนามใต้ได้ด้วยการปฏิบัติการของพวกก่อความไม่สงบด้วยการใช้อาวุธโดยตรงแล้ว จึงได้เปลี่ยนเป็นการสงครามแบบยืดเยื้อ และใช้กองโจรขนาดใหญ่เข้าปฏิบัติการทำการระเบิดสถานที่ต่าง ๆ ด้วยหวังที่จะให้ประชาชนเกิดความเบื่อหน่ายต่อรัฐบาล และเบื่อหน่ายต่อประเทศฝ่ายโลกเสรีที่ให้ความช่วยเหลือและจะได้ขับไล่ประเทศฝ่ายโลกเสรีให้ความช่วยเหลือออกไปจากเวียดนามใต้ ถ้าเวียดนามเหนือทำได้สำเร็จแล้วก็จะสามารถที่จะรวมเวียดนามทั้งหมดเข้าไว้ในความครอบครองได้

..........การต่อต้านปราบปรามการก่อความไม่สงบในเวียดนามใต้ คือ กำลังพลหลักที่ใช้ต่อต้านปราบปรามการก่อความไม่สงบในเวียดนามใต้นั้นมี
..........๑. ใช้ทหารประจำการ (ทหารบก, เรือ, อากาศ)
..........๒. หน่วย CIVIL GUARD เป็นหน่วยกึ่งทหาร (Paramilitary) จัดขึ้นในระดับจังหวัด, อำเภอ, มีความมุ่งหมายให้ทำหน้าที่กึ่งทหารกึ่งตำรวจ ภายในจังหวัดและอำเภอ มีการฝึก การจัดและยุทโธปกรณ์ใกล้เคียงกับทหาร เป็นหน่วยที่มีความคล่องตัวในการเคลื่อนที่ หน่วย civil guard นี้ โดยธรรมดาแล้วจะปฏิบัติอยู่ในจังหวัดที่ตนอยู่ หน้าที่ใช้ได้ทั้งรุกและป้องกัน และใช้เป็นกำลังสนับสนุนแก่หน่วย Self – defence corps
..........๓. หน่วย SELF – Defence corps เป็นหน่วยกำลังป้องกันประจำถิ่น จัดขึ้นในระดับตำบล เพื่อทำหน้าที่ป้องกันในเฉพาะตำบล ปฏิบัติการในพื้นที่ระหว่างหมู่บ้านและเป็นกำลังสนับสนุน (Hamlet Militia) กำลังประจำหมู่บ้าน หน้าที่ของ SELF – Defence corps หนักไปในทางป้องกัน
..........๔. หน่วย (Hamlet Militia) กำลังประจำหมู่บ้านมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ในหมู่บ้านยุทธศาสตร์ (Strategic Hamlet program) การปราบปรามเวียดกงของรัฐบาลเวียดนามใต้นั้น รัฐบาลเวียดนามใต้แบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น ๕ ภาค
...............๔.๑ ภาคกองทัพน้อยที่ ๑ มีกำลัง พล.ร.๑ กับ พล.ร.๒ มีภารกิจในการต่อต้านการรุกรานด้วยกำลังจากภาคเหนือ และจากพรมแดนด้านประเทศลาว และปราบกองโจรเวียดกงในเขตภาคยุทธวิธีที่ ๑
...............๔.๒ ภาคกองทัพน้อยที่ ๒ มีกำลัง พล.ร.๒๒ กับบ พล.ร.๒๓ มีภารกิจในการต่อต้านการรุกรานด้วยกำลังจากพรมแดนด้านกัมพูชา ปราบกองโจรเวียดกงในเขตยุทธวิธีที่ ๒
...............๔.๓ กองทัพน้อยที่ ๓ มีกำลัง พล.ร.๕ กับ พล.ร.๒๙ กับมีเขตปฏิบัติการพิเศษ มีภารกิจในการป้องกันเมืองหลวง ปราบปรามพวกเวียดกงบริเวณไซ่ง่อน และใกล้เคียง
...............๔.๔ กองทัพน้อยที่ ๔ มีกำลัง พล.ร.๗ , พล.ร.๙ , พล.ร.๒๑ มีภารกิจปราบปรามเวียดกงในพื้นที่ภาคใต้บริเวณสามเหลี่ยมปากเเม่น้ำโขง
...............๔.๕ พื้นที่ยุทธวิธีพิเศษ มีเขตรับผิดชอบบริเวณไซ่ง่อนและเกียดินห์

..........เนื่องจากว่าพวกเวียดกงเป็นองค์การที่มั่นคงมาก การปราบปรามไม่สามารถที่จะทำการปราบด้วยน้ำหนักเท่ากันตลอดทั่วทั้งประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ การปราบจึงต้องกระทำให้สำเร็จไปที่ละภาค ในภาค ทน.๔ ลุ่มปากแม่น้ำโขง มีความสำคัญกว่าภาคอื่น ๆ เพราะมีพลเมืองมากกว่า ๘ ล้านคน ในจำนวนพลเมือง ๑๔ ล้านคนของเวียดนามใต้ เป็นชุมชนเศรษฐกิจโดยเป็นแหล่งผลิตอาหาร ทั้งข้าวและอาหารทะเลขนาดเคยครองอันดับหนึ่งของโลกมาแล้วในอดีต รัฐบาลเวียดนามใต้จึงมุ่งทำภาคนี้ให้เป็นสีขาวก่อนภาคอื่น เพราะจะได้พึ่งทางเศรษฐกิจต่อไป ฉะนั้นการปราบเวียดกงจึงมุ่งที่จะปราบในภาคนี้มากกว่าภาคอื่น

..........พื้นที่ในภาคของ ทน.๔ แบ่งออกเป็นเขตทางยุทธวิธีของกองพล เป็น ๓ เขต คือ เขต พล.ร.๗ เขต พล.ร.๙ และ เขต พล.ร.๒๑ แต่ละเขตมีพื้นที่ของจังหวัดของกระทรวงมหาดไทย ขึ้นอยู่ ๔ – ๖ จังหวัด ตามความเหมาะสม ผบ.พล มีอำนาจเต็มในพื้นที่รับผิดชอบของตน กองพลจะแบ่งพื้นที่ทางยุทธวิธีของแต่ละกองพลออกเป็นเขตตามเขตจังหวัดการปกครองของกระทรวงมหาดไทย แต่เรียกว่า SECTOR ผู้ว่าการจังหวัดซึ่งเป็นตำแหน่งพลเรือนจะได้รับการแต่งตั้งเป็น Sector Commander ขึ้นตรงต่อ ผบ.พล.ในเขตของตน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสำนักงานของผู้ว่าราชการจังหวัดจะมี ๒ สำนักงาน คือ สำนักงานฝ่ายทหาร ซึ่งเป็นสำนักงานที่ทำในตำแหน่ง Sector Commander และสำนักงานพลเรือนซึ่งเป็นสำนักงานในตำแหน่งของผู้ว่าราชการจังหวัด ทางสำนักงานที่ทำในตำแหน่ง Sector Commander มีที่ปรึกษาเป็นคณะนายทหารสหรัฐฯ หัวหน้าเป็น พ.ท. มีฝ่ายอำนวยการ นายทหาร นายสิบ ๓๐ – ๕๐ นาย มีหน้าที่วางแผนการใช้หน่วยทหารประจำถิ่น ส่วนสำนักงานฝ่ายพลเรือนมีที่ปรึกษาเรียกว่า “country team” เป็นคณะเจ้าหน้าที่ผู้แทนของยูซอม (USOM) ยูซิส(USIS) สธ.๕ ซีไอเอ (CIA) ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการปกครอง พัฒนาบ้านเมืองและการทำสงครามจิตวิทยา

..........ส่วนการดำเนินการปราบปรามการก่อความไม่สงบ เวียดนามใต้ใช้หลักอยู่ ๓ ประการ คือ.-
..........๑. การพิทักษ์ประชาชนและทรัพยากร
..........๒. การปรับปรุงสิ่งแวดล้อม
..........๓. การปราบกองโจร
..........ในการพิทักษ์ประชาชนและทรัพยากร นี้รัฐบาลเวียดนามใต้มีจุดมุ่งหมายที่จะมิให้กองโจรเวียด กงขู่เข็ญ
ประชาชนและนำเอาทรัพยากรของประชาชนไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ในเรื่องนี้รัฐบาลเวียดนามใต้จัดตั้งโครงการหมู่บ้านยุทธศาสตร์ขึ้น (Strategic Hamlet program)

..........หมู่บ้านยุทธศาสตร์นี้มีการป้องกันตนเอง ในลักษณะที่จะสามารถต่อต้านการรบกวนรังควาญจากพวกเวียดกงได้ โครงการนี้ USOM เป็นผู้จัดหาวัสดุและเงินทุนสำหรับก่อสร้างโครงการหมู่บ้านยุทธศาสตร์นี้จะได้จัดรวมครอบครัวประมาณ ๒๐–๔๐ ครอบครัว หรืออาจมากกว่า ในบริเวณเดียวกันหรือใกล้เคียงประกอบขึ้นเป็นหมู่บ้านยุทธศาสต์ หมู่บ้านยุทธศาสตร์จะจัดการป้องกันหมู่บ้านขึ้น การป้องกันจะมีมากน้อยแตกต่างกันอย่างไรขึ้นอยู่กับลักษณะความ-เป็นไปของท้องที่ว่าจะมีอันตรายจากพวกเวียดกงมากน้อยเพียงใด
..........หมู่บ้านยุทธศาสตร์แบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภท
..........ประเภทที่ ๑ หมู่บ้านยุทธศาสตร์ในพื้นที่ที่มีความคุ้มครองป้องกันรักษาอย่างแข็งแรง หรือในพื้นที่ที่อยู่ในความควบคุมของฝ่ายรัฐบาล
..........ประเภทที่ ๒ หมู่บ้านยุทธศาสตร์ในพื้นที่ที่มีการรบกวนจากพวกเวียดกง
..........ประเภทที่ ๓ หมู่บ้านยุทธศาสตร์ในพื้นที่บริเวณที่อยู่ในความควบคุมของพวกเวียดกง

..........ประเภทที่ ๑ นั้นมักจะอยู่บริเวณใกล้ ๆ ตัวเมือง และได้รับความคุ้มครองในหน่วยกำลังที่ไปตั้งประจำอยู่ รัฐบาลสามารถควบคุมได้ทั่วถึง หมู่บ้านประเภทนี้จะไม่มีการล้อมรั้วลวดหนาม

..........ประเภทที่ ๒ เป็นหมู่บ้านในพื้นที่ห่างไกลออกไป ไม่มีหน่วยกำลังไปตั้งอยู่เป็นการประจำ รัฐบาลยื่นมือออกไปคุ้มครองได้ไม่ทั่วถึง เพราะค่อนข้างจะห่างไกล เมื่อหน่วยทหารออกปฏิบัติการ พวกเวียดกงก็หลบออกไป พอหน่วยกลังเคลื่อนย้ายไปที่อื่น พวกเวียดกงก็เข้ามารบกวน ในบางโอกาส หมู่บ้านประเภทนี้มักจะมีลวดหนามป้องกัน มีที่กำบังหลบภัย มีที่ตั้งอาวุธสำหรับทำการป้องกันตัวและต่อสู้รับมือกับพวกเวียดกงให้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อรอกำลังสนับสนุนที่อยู่ใกล้ที่สุดจะมาช่วย
..........ประเภทที่ ๓ นั้น อยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกล ทุรกันดาร ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของพวกเวียดกงและพวกเวียดกงครอบครองพื้นที่นั้นอยู่ เมื่อฝ่ายรัฐบาลบุกเข้าไปและยึดไว้ได้แล้ว ฝ่ายรัฐบาลก็จำเป็นที่จะต้องทำการป้องกันให้แข็งแรงมากกว่าหมู่บ้านในประเภทที่ ๒ การกั้นลวดหนามก็แข็งแรงประณีต และอาจกั้นหลายชั้น
..........ส่วนกำลังที่จะทำการต่อต้านเวียดกงในขั้นแรกนั้น แต่ละหมู่บ้านยุทธศาสตร์จะเรียกอาสาสมัครสมาชิกของครอบครัวภายในหมู่บ้านยุทธศาสตร์ซึ่งเราเรียกว่ากำลังประจำหมู่บ้าน (HAMLET MILITIA) ทำหน้าที่เป็นยามช่องทางและตรวจตรารอบ ๆ ภายในหมู่บ้านยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน อาวุธที่ใช้ก็แล้วแต่จะหาได้

การปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ในเรื่องนี้รัฐบาลเวียดนามใต้ได้มี.-
..........๑. โครงการที่จะพัฒนาหมู่บ้านต่าง ๆ ขึ้น โดยให้แต่ละหมู่บ้านเลือกคณะกรรมการของแต่ละหมู่บ้านขึ้น เพื่อปรับปรุงโรงเรียน โรงพยาบาล หรือสุขศาลา โรงเรียนอาชีพ และเสริมสร้างสาธารณูปโภค คณะกรรมการหมู่บ้านต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือต้องการจะปรับปรุงอะไรก็เสนอไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดมีคณะผู้ช่วยเหลือทางด้านพัฒนาเรียกว่า “country team” ซึ่งสมาชิกของ country team นี้ก็คือ สธ.๕ และเจ้าหน้าที่สาขาต่าง ๆ ของ USOM และจากองค์การอื่น ๆ เช่น AID, USIS, CIA คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่นำปัญหาความต้องการต่าง ๆ ตามที่คณะกรรมการหมู่บ้าน, คณะกรรมการตำบล หรือเทศมนตรีเสนอ มาวิเคราะห์ เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมต่อไป เมื่อทำแผนเสร็จแล้วก็จะเสนอขอความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อเสนอไปยังกระทรวงมหาดไทยในไซ่ง่อน เพื่อให้ได้รับการจัดสันปันส่วนเงินและสิ่งอุปกรณ์มาดำเนินการต่อไป
..........๒. โครงการจัดสรรที่อยู่ที่ทำกินใหม่ให้แก่ชาวเขา (Montagnard Resettlement Program) ทั้งนี้เพื่อชักจูงให้ชาวเขาเข้ามาอยู่ และร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาล ขณะนี้ชาวเขาเข้ามาอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก
..........๓. โครงการชักจูงพวกเวียดกงให้สวามิภักดิ์ต่อรัฐบาล (Chieu Hoi Program หรือ Amnesty Program) โครงการนี้เป็นโครงการที่ชักจูงให้พวกเวียดกงสวามิภักดิ์ต่อรัฐบาล โดยพยายามจัดสรรบริเวณที่อยู่และฝึกอาชีพให้พร้อม ๆ กับอบรมให้เป็นพลเมืองดี แต่เท่าที่ปฏิบัติมาไม่บังเกิดผลและรู้สึกว่าจะเป็นผลเสียแก่ฝ่ายรัฐบาลอีกด้วย เพราะปรากฏว่าพวกนี้อยู่ได้ไม่นานก็หาช่องทางหลบหนีไปอยู่กับพวกเวียดกงตามเดิม และกลายเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของเวียดกงอย่างดี ฝ่ายรัฐบาลให้การอยู่ดีกินดีสู้เวียดกงไม่ได้ พวกนี้จึงไม่อยู่กับฝ่ายรัฐบาล พยายามหาทางหนีไปอยู่กับฝ่ายเวียดกงซึ่งมีสวัสดิภาพดีกว่า
..........๔. โครงการสงครามจิตวิทยา เป็นงานที่ปฏิบัติโดยหน่วยสงครามจิตวิทยา กองร้อยกิจการพลเรือน ชุดเสนารักษ์ และชุดเกลี้ยกล่อม เพื่อเปลี่ยนจิตใจพวกเวียดกงให้หันมาใช้ชีวิตใหม่กลับตัวเป็นคนดี ปลูกฝังศีลธรรมจรรยา สร้างความรักชาติ และความรู้สึกที่ถูกต้อง

..........การปราบปรามกองโจร งานในเรื่องการปราบกองโจรนั้น รัฐบาลเวียดนามใต้ได้แบ่งงานออกเป็นภาค คือ.-
..........๑. ภาคการแยก การแยกนี้ คือ การแยกกองโจรออกจากประชาชน แยกกองโจรออกจากกัน และแยกกองโจรออกจากฐานการส่งกำลัง ในภาคนี้งานที่กระทำก็มี.-
..............๑.๑ จัดสร้างป้องสนามเป็นที่ตรวจการณ์ขึ้น โดยใช้ทหารประจำการ หรือกำลังประจำถิ่น เฝ้าประจำอยู่ตามเส้นทางแทรกซึมและเส้นทางคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำ เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของเวียดกงไม่ให้เข้ามารบกวนประชาชนได้ ป้อมสนามเป็นที่ตรวจการณ์นี้สามารถติดต่อกับหน่วยทหารประจำการ หรือกำลังทางอากาศเข้าโจมตีเวียดกงได้ ถ้าสามารถรู้การเคลื่อนไหวของพวก เวียดกง
..............๑.๒ จัดด่านตรวจ ตามเส้นทางคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำ กำลังใช้ตำรวจหรือสารวัตทหาร เป็นการตัดการติดต่อ การส่งข่าว การส่งสิ่งอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น น้ำมัน เครื่องเวชภัณฑ์ ไม้ขีด เกลือ วัตถุที่ใช้ทำวัตถุระเบิด ให้กับพวกเวียดกง ถ้าหากว่าราษฎรจะขนย้ายสิ่งจำเป็นเหล่านี้ต้องมีใบอนุญาตขนจากผู้ว่าราชการจังหวัด
..............๑.๓ จัดหมู่ตรวจตามพื้นที่ต่าง ๆ ใช้ทหาร และกำลังประจำถิ่น
..............๑.๔ ทางทะเล กองทัพเรือที่ ๗ ของสหรัฐฯ ควบคุมการเคลื่อนย้ายทางทะเลด้านทะเลจีน ตั้งแต่เส้นขนานที่ ๑๗ ลงมาจนถึงแหลมคาเมา (CA MUA) ส่วนทางทะเลในเวียดนามใต้ตั้งแต่แหลมคาเมา ไปทางทิศตะวันตกจนจดเขตแดนกัมพูชาอยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพเรือเวียดนามใต้
..............๑.๕ ทางบก ใช้ทหารวางกำลังปิดกั้นชายแดน และใช้ทหารอากาศเวียดนามใต้ และสหรัฐฯ ทิ้งระเบิด เส้นทางแทรกซึมและลำเลียง และสกัดกั้นการเคลื่อนย้ายของเวียดกงในพื้นที่ประเทศเวียดนามใต้
............๒. ภาคการทำลายล้างพวกเวียดกง เมื่อได้แยกพวกกองโจรเวียดกงออกจากประชาชนและออกจากการสนับสนุนแล้ว กองโจรก็จะค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมาให้ฝ่ายปราบทำลาย จะทำลายกองโจรที่ไหน เมื่อใด และทำลายอย่างไรนั้น เรื่องสำคัญที่สุดก็คือเรื่องการข่าว ข่าวการเคลื่อนไหวของเวียดกงแม้จะได้จากแหล่งข่าวต่าง ๆ มากมายหลายแห่งก็ตาม แต่ที่สำคัญจะได้จากการซักถามเชลยศึกเวียดกงที่จับได้และได้จากการลาดตระเวน ข่าวที่ได้รับรายงานจากชาวพื้นเมืองตามหมู่บ้านหรือประสบเหตุการณ์มักจะเชื่อถือไม่ใคร่ได้ และมักจะเกินความจริง การวางแผนเข้าตีแต่ละครั้ง จะกระทำก็เมื่อได้ปฏิบัติการลาดตระเวนอย่างซ้ำซากจนได้ทราบข่าวแน่ชัดและเกาะข้าศึกได้แล้วเท่านั้น วิธีปฏิบัติการลาดตระเวนที่ประสบผลดีและที่ใช้อยู่ในเวียดนามใต้ใน ปัจจุบัน คือ วิธี Area Saturation Tactics วิธีนี้ได้ใช้ในครั้งแรกในจังหวัด Quang Tin ใน ๙ ธ.ค.๐๗ และได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดี

..........การลาดตระเวนโดยวิธี Area Saturation Tactics นี้ ได้ข้อมูลมาจากประสบการณ์ในเรื่อง
..........๑. เมื่อล้อมพวกเวียดกงไว้แล้ว เวียดกงมักจะสามารถหลบหนีออกจากวงล้อมได้บ่อย ๆ โดยแยกออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แทรกซึมผ่านวงล้อมไป
..........๒.เมื่อแทรกซึมผ่านวงล้อมไปแล้ว เวียดกงจะรวมกำลังกันใหม่และเข้าปฏิบัติการโจมตีหมู่บ้านได้ตามต้องการ
..........๓. การเคลื่อนไหวของเวียดกงมักจะกระทำในเวลากลางคืน
..........๔. เวียดกงสามารถกลับคืนเข้าสู่พื้นที่ปฏิบัติการได้รวดเร็วภายหลังที่หน่วยทหารได้ถอนตัวออกไปแล้ว
..........๕. เวียดกงสามารถซุ่มซ่อนและแยกกระจัดกระจายกันออกไปอยู่ได้ประมาณ ๗ วัน พ้นระยะนี้แล้วจะต้องกลับเข้ามารวมกำลังกันใหม่เพื่อรับการส่งกำลังเพิ่มเติมในกรณีที่พวกเวียดกงต้องแยกกระจายกันอยู่นานกว่านี้ ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งไป
..........๖. การติดต่อสื่อสารของเวียดกงไม่ดีพอ
จากบทเรียนที่ได้รับเหล่านี้ อเมริกันได้พยายามคิดค้นหาวิธีปฏิบัติการลาดตระเวนแบบ Area Saturation Tactics มีดังนี้.-
..............๖.๑ ทำการลาดตระเวนโดยต่อเนื่องหลาย ๆ เส้นทาง ในพื้นที่บริเวณกว้าง เพื่อหาทางปะทะกับเวียดกงบ่อยครั้ง
..............๖.๒ ปฏิบัติการลาดตระเวนในเวลากลางคืนด้วยกำลัง ๒ ใน ๓ (กำลัง ๑ ใน ๓ ทำการลาดตระเวนในเวลากลางวัน)
..............๖.๓ ทำการลาดตระเวนพื้นที่บริเวณเดิมซ้ำ ๆ ซาก ๆ อย่างทั่วถึง เพื่อขัดขวางและจับกุม เวียดกงที่พยายามกลับคืนที่เดิม
..............๖.๔ บังคับให้เวียดกงต้องแยกกระจายกำลังกันออกไปเมื่อถึงเวลาที่จะรวมกำลังกันใหม่ เวียดกงจะออกจากที่ซ่อนฝ่ายปราบจึงเข้าจับกุม
..............๖.๕ ลดน้ำหนักประจำกายของทหารให้เบา อย่างน้อยให้สามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วเท่า ๆ กับเวียดกง
..........ส่วนยุทธวิธีในการปราบเวียดกงนั้น ก็เหมือนกับยุทธวิธีการปราบกองโจรโดยทั่ว ๆ ไป
หลังจากที่ได้ทำการปราบปรามแล้ว ให้จังหวัด ทางพลเรือนรับช่วงดำเนินงานทางการปกครองป้องักนและรักษาต่อไป ทางจังหวัดพลเรือนจะจัดหน่วย Civil Guard ที่อยู่ในบังคับบัญชาของตนไปจัดตั้งหน่วย Self Defense Corps ขึ้นภายในตำบลตลอดจนถึงดำเนินโครงการหมู่บ้านยุทธศาสตร์ขึ้น เพื่อให้พลเมืองสามารถป้องกันตนเองได้ แล้วหน่วยทหารก็จะถอยตัวออกไปปฏิบัติการในพื้นที่อื่น หน่วย Civil Guard นี้นอกจากจะได้รับโอนพื้นที่ที่จะให้ป้องกันจากหน่วยทหารแล้ว หน่วย Civil Guard อาจจะถูกส่งไปปฏิบัติการร่วมกับหน่วยทหารในการเข้าโจมตีปราบเวียดกง โดยจัดเป็นกำลังขึ้นสมทบกับหน่วยทหารเป็นครั้งคราว
การประสานระหว่างฝ่ายทหารกับฝ่ายบ้านเมืองในการปราบกองโจรเวียดกงดำเนินไปอย่างดียิ่ง ทั้งนี้ก็เพราะว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือนายอำเภอส่วนใหญ่ไปจากทหาร ในบางครั้งบางคราวผู้ว่าราชการจังหวัด หรือนายอำเภอจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยรบเฉพาะกิจ หรือรองก็ได้
..........๓. ภาคการบูรณะฟื้นฟู
..............ภาคนี้ได้แก่การซ่อมสร้างบ้านเมืองที่เสียหายเนื่องจากการปราบเวียดกง พัฒนาด้านการเมือง การเศรษฐกิจ และสังคมให้ดีขึ้นกว่าเดิม งานชั้นนี้ สธ.๕ จะร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนทำการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่มีการสู้รบกันขึ้น
..........สรุป ความสำเร็จในการปราบกองโจรเวียดกงในเวียดนามใต้ มิได้ขึ้นอยู่กับปัญหาในการปราบปราบด้วยกำลังอาวุธแต่เพียงอย่างเดียว การปราบจะต้องประกอบด้วยปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประการ เช่น เสถียรภาพของรัฐบาล สถานการณ์ทางการเมืองในเวียดนามใต้ และการเอาชนะจิตใจประชาชน ถ้าหากรัฐบาลสามารถทำให้ราษฎรมีความเลื่อมใสและเชื่อมั่นในการบริหารประเทศ และมั่นใจที่จะได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินอย่างแท้จริงแล้ว โอกาสที่จะชนะเวียดกงก็ย่อมจะประสบความสำเร็จลงในระยะเวลาอันสั้น ปัญหาจึงน่าจะอยู่ที่ว่าทำอย่างไร รัฐบาลจึงจะเปลี่ยนความรู้สึกของประชาชนที่สนับสนุนเวียดกงให้มาสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น


_______________________