08 กันยายน 2552

กำเนิด "ทัดมาดอ (กองทัพพม่า)" ตอนที่ 9


กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วย
และรับไม่ได้ กับความคิดของ ออง ซาน ผู้ให้กำเนิดทัดมาดอ
วางแผนสังหาร ออง ซาน
-----------------------
แปลและเรียบเรียงโดย
พลตรี นิพัทธ์ ทองเล็ก

เมื่ออังกฤษเปิดไฟเขียวให้พม่าเตรียมการเป็นเอกราชภายใน 1 ปี การดำเนินการทางการเมืองและขั้นตอนต่างๆพุ่งไปข้างหน้าเหมือนจรวด

เมษายน 1947 พม่าจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญและคณะทำงาน ต่างเดินหน้าเต็มตัวเพื่อร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายใน 6 เดือน โศกนาฏกรรมบังเกิดแก่ออง ซานวีรบุรุษหนุ่มของชาวพม่าอายุเพียงแค่ 32 ปี

ในหนังสือ Who killed Aung San โดย Kin Oung บรรยายว่า.... เช้าวันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม 1947 เป็นช่วงฤดูเข้าพรรษา เช้าวันนั้นท้องฟ้าฉ่ำด้วยเมฆ ที่หน้าบ้านของอู ซอ (U Saw) นักการเมืองอาวุโสของพม่า มีชายกลุ่มหนึ่งกำลัง รวมตัวกันตั้งใจฟังคำชี้แจงเป็นครั้งสุดท้ายจากอู ซอ คนกลุ่มนี้กำลังจะปฏิบัติภารกิจที่จะเปลี่ยนอนาคตของประเทศพม่าตลอดไป ชั่วครู่หนึ่งชายกลุ่มนั้นแยกย้ายขึ้นไปนั่งบน รถบรรทุกทหารยี่ห้อ Fordson

ไม่มีใครสนใจรถบรรทุกคันนี้ เพราะสงครามเพิ่งจะเลิกไม่นาน รถบรรทุกทหาร วิ่งกันไปมาในย่างกุ้งเป็นเรื่องปกติ ครึ่งชั่งโมงต่อมารถคันนี้ไปจอดหน้าตึก 2 ชั้นสไตล์ วิคทอเรียก่อด้วยอิฐสีแดง

ชายฉกรรจ์ 3 คนโดดลงมาจากรถแล้วเดินสำรวจบริเวณรอบๆตึกเพื่อให้แน่ใจว่า “เป้าหมาย” กำลังอยู่ในห้องประชุม หนึ่งในสามคนนั้นนามว่าคิน หม่อง ยิน โทรศัพท์กลับไปบอกเจ้านายโดยใช้รหัสว่า “ได้รับแหวนลูกสูบแล้ว”

ทันทีที่ปลายทางได้รับแจ้ง รถจี๊บอีกคันหนึ่งพุ่งออกจากบ้านอู ซอไป ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 10 โมงเช้า ด้านหลังรถจี๊บมีผ้าใบคลุมหลังคามิดชิดซ่อน 6 เพชฌฆาตพร้อมด้วยปืนกลทอมมี่และปืนสเตนครบมือ ทั้งหมดแต่งกายชุดฝึกเขียวหมวกปีก

ในเวลาใกล้เคียงกัน อองซานวัย 32 ปีกำลังนั่งรถออกจากบ้านมีคนขับ มุ่งหน้าไปที่ประชุมแต่งกายด้วยชุดประจำชาติ (นุ่งโสร่ง) ถึงแม้จะเป็นวันเสาร์ คณะทำงานก็มาประชุมเพื่อเตรียมการเป็นเอกราชในอีก 6 เดือนข้างหน้า

บา ยุนท์ ไม่ได้พกอาวุธเดินเข้าไปสำรวจในอาคารเพื่อดูว่าใครบ้างจะชะตาขาด มองหาตะขิ่น นุ (อูนุ) ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญซึ่งน่าจะอยู่ในห้องประชุมแต่ไม่พบ หากแต่ “เป้าหมาย” อื่นๆ อยู่ครบ จึงเดินกลับไปที่รถบรรทุก แจ้งว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน รถจี๊บเคลื่อนมาจอดหน้าตึก ถนนโล่งสะดวกไม่มีอะไรกีดขวาง

10.30 น. องค์ประชุมมาครบนั่งตามที่จัดเป็นรูปตัว u ออง ซานนั่งหัวโต๊ะ. การประชุมกำลังจะเริ่มขึ้น แต่ก็ถูกขัดจังหวะโดยอู ออน หม่อง รัฐมนตรีช่วยคมนาคมซึ่งเพิ่งเดินเข้ามาในห้องประชุมและรีบชี้แจงต่อที่ประชุมว่ารัฐมนตรีว่าการคมนาคมไปตรวจงานต่างจังหวัด จึงมาขอชี้แจงเรื่องด่วนก่อนและจะรีบเดินทางไปราชการ


4 เพชฌฆาตพร้อมอาวุธครบมือรีบวิ่งขึ้นบันไดตรงสู่ห้องประชุม หม่องโซกระชากประตูให้เปิด ลูกสมุนอีก 3 คนกรูเข้าไปในห้องประชุม หม่องโซตะโกน “หยุดอย่าขยับ”

ออง ซาน เป็นคนเดียวที่ลุกขึ้นยืน หม่องโซ สั่งยิงทันที ออง ซานล้มคว่ำลงไปจมกองเลือดด้วยกระสุน 13 นัดเจาะร่าง

สมุนที่เหลือสาดกระสุนจากปืนกลทอมมี่ ยาน ยี คุกเข่าลงสาดกระสุนใส่บรรดาผู้เข้าประชุมที่หมอบลงใต้โต๊ะ เสียงปืนกลคำรามลั่นประมาณ 30 วินาที 4 เพชฌฆาตจึงถอนตัว

10.40 น. เลขานุการและนายทหารคนสนิทของออง ซานวิ่งมาถึงพื้นที่สังหาร สมาชิกสภาที่ประชุมอยู่ในห้องอื่นแตกตื่นวิ่งมาที่เกิดเหตุ กลิ่นดินปืนคลุ้งตลบอบอวนผสมกับกลิ่นคาวเลือด โต๊ะเก้าอี้ล้มคว่ำระเกะระกะ

นายพลออง ซานวัย 32 ปีวีรบุรุษของชาตินอนจมกองเลือดตายคาที่บนพื้นห้อง สมาชิกคนอื่นๆอีก 6 คนโดนปลิดชีพบนโต๊ะ บนเก้าอี้ และใต้โต๊ะ

แท้ที่จริงแล้วนายพลออง ซานคือ “เป้าหมาย” แต่เพียงผู้เดียว ในจำนวนนั้นมีผู้รอดตายราวปาฏิหาริย์ 2 คนที่นั่งริมประตูแล้วกระโดออกไปได้

ระหว่างที่ 4 เพชฌฆาตถอนตัวจากอาคารยังสังหารยามประจำตึกอีก 1 คนพร้อมทั้งตะโกน “เราชนะแล้ว-เราชนะแล้ว” รีบขึ้นรถจี๊บหนีออกจากที่เกิดเหตุ นักข่าวประจำสภาคนหนึ่งวิ่งตามออกมาเห็นแผ่นป้ายทะเบียนรถ รถจี๊บมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านอู ซอด้วยความเร็ว เกือบจะชนร้อยเอกข่าน เพื่อนบ้านของอู ซอ ร้อยเอกข่าน เห็นรถจี๊บคันนี้มีพิรุธผิดสังเกตุ รถเลี้ยวเข้าไปจอดในบ้านของอู ซอกลุ่มคนบนรถจี๊บโดดลงมาพูดคุยกับอู ซอที่ยืนรออยู่

อู ซอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินกระโดดเข้ากอดเพชฌฆาตทุกคนอย่างมีความสุขพร้อมทั้งตะโกน “เราชนะแล้ว-เราชนะแล้ว” อาหารและเครื่องดื่มที่เตรียมไว้เพื่อฉลองความสำเร็จถูกยกมาบริการเต็มคราบกลั้วด้วยเสียงหัวเราะอย่างเมามัน

อู ซอถามลูกน้องว่า “อูนุตายมั้ย?” บายุ้นท์ชี้แจงว่าอูนุไม่ได้มาร่วมประชุมและ เล่ารายละเอียดอื่นๆให้อูซอเห็นภาพ อูซอพอใจมากเพราะอูนุไม่ใช้ “เป้าหมายหลัก” ในการสังหารครั้งนี้

ทุกลมหายใจอูซอกระวนกระวายรอฟังเสียงโทรศัพท์จาก เซอร์ฮิวเบอร์ต แรนซ์ข้าหลวงอังกฤษผู้ปกครองพม่าโทรศัพท์มาตามเพื่อให้อูซอไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน ออง ซาน เพราะเมื่อสิ้นออง ซานแล้วไม่มีใครโดดเด่นเท่ากับอู ซอผู้มากด้วยประสบการณ์ทางการเมือง อายุเพียง 47 ปี กว้างขวางในหมู่นักการเมือง สนิทสนมกับกองทัพ เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ The Sun เป็นหัวหน้าพรรคเมียวชิต (แปลว่ารักชาติ) แถมยังเคยเป็นนายกรัฐมนตรีของพม่าในห้วงปี 1940-1942 ก่อนญี่ปุ่นบุกพม่า

เหมือนสายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ ข้าหลวงใหญ่อังกฤษกลับเชิญอูนุมาพบแล้วขอให้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันทีแล้วรีบจัดตั้งรัฐบาลเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ของประเทศ

ในตอนนั้น ออง ซานมีลูก 3 คน คือ ด.ช. ออง ซานอู ด.ช. ออง ซานลิน และ ด.ญ. ออง ซานซูจี

อูซอพร้อมด้วยลูกสมุนมือปืนยังคงคอยโทรศัพท์ด้วยความร้อนรุ่มคละเคล้าด้วยความปลาบปลื้มที่กำจัดคู่แข่งทางการเมืองได้สำเร็จ

บ่าย 3 โมงวันเดียวกันนั้นรถบรรทุกตำรวจจำนวนหนึ่งได้จู่โจมเข้าล้อมบ้านพักอูซอ มือปืนทุกคนหยิบอาวุธเตรียมต่อสู้ แต่อูซอกลับใจเย็นจิบวิสกี้เดินออกไปพบตำรวจด้วยท่าทางสงบเหมือนไม่มีอะเกิดขึ้น ตำรวจเข้าค้นบ้านพบปืนและกระสุนจำนวนมากแต่มีใบอนุญาตถูกต้องจึงยึดไปเป็นหลักฐาน ตำรวจคุมตัวอูซอและลูกสมุนไปคุกอินเส่ง ในบ้านตำรวจยังพบนามบัตร ตรายางที่ทำเตรียมไว้เรียบร้อยพร้อมใช้เขียนว่า “ฯพณฯนายกรัฐมนตรี อูซอ”

อูซอมีบุคลิกเป็นคนทะเยอทะยาน มักใหญ่ไฝ่สูงในช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรี (1940-1942) ใช้อำนาจเหมือนเผด็จการ เคยสั่งจับนักการเมืองคู่แข่งเช่นอูนุและบรรดากลุ่ม 30 สหายอีกหลายๆคนรวมทั้งสั่งจับผู้ต้องสงสัยว่ามีความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น ในเวลาเดียวกันทำตัวเป็นลูกสมุนชั้นดีของข้าหลวงอังกฤษทุกคน อูซอเคยได้รับเชิญไปลอนดอนเพื่อพบกับเซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล และบรรดาผู้นำอังกฤษเพื่อแสดงบทบาทเจรจาปลดปล่อยพม่าแต่ให้เป็นเครือจักรภพอังกฤษ

มีบันทึกว่าก่อนอูซอเดินทางไปเจรจากับอังกฤษนั้น เขาบวชเป็นพระแล้วไปสักการะขอพรจากพระเจดีย์ชเวดากอง แต่ด้วยความระห่ำ อูซอขึ้นเครื่องบินรุ่น Tiger Moth แล้วไปบินวนเหนือเจดีย์ชเวดากองเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์แต่ชาวพม่าและพระสงฆ์ทั้งหลายลงความเห็นว่าเขาเป็นโรคจิต ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธ์สูงสุด

กระบวนการสอบสวนฆาตกรรมออง ซานดำเนินมาจนถึง 30 ธ.ค. 1947 ศาลอ่านคำพิพากษากว่า 1 ชั่งโมงเป็นภาษาอังกฤษ อูซอฟังเข้าใจส่วนลูกน้องอีก 8 คนไม่รู้เรื่อง ศาลตักสินประหารชีวิตโดยการแขวนคออูซอและมือปืนอีก 5 คนส่วนที่เหลืออีก 3 คนจำคุกคนละ 20 ปี

ศพของออง ซานถูกนำมาวางให้ประชาชนเคารพเป็นเวลาประมาณ 9 เดือนในJubilee Hall บนถนนชเวดากองแล้วจึงทำพิธีฝังอย่างสมเกียรติ์ในสุสานเมื่อ 11 เมษายน 1948 มีชาวพม่ามาร่วมพิธีศพกว่า 500,000 คน

นับว่าเป็นการปิดฉากชีวิตนิรันดร์กาลของวีรบุรุษผู้ก่อตั้งทัดมาดอ (กองทัพพม่า) และผู้ปลดปล่อยพม่าให้เป็นเอกราช ความสูญเสียในครั้งนี้ได้พลิกผันโฉมหน้าความเป็นไปของประเทศพม่าจนเราเห็นเช่นทุกวันนี้ที่มีผลกระทบต่อคนไทยและประเทศไทยไม่มากก็น้อย

(จบบริบูรณ์)

1 ความคิดเห็น: