02 พฤศจิกายน 2552

มีอะไรใน…แคมป์เดวิด ? (1)


มีอะไร….ในแคมป์เดวิด ? (1)



แปลและเรียบเรียงโดย
พลตรี นิพัทธ์ ทองเล็ก
nthonglek@hotmail.com




แคมป์เดวิด



..........ความสุขอื่นใดเสมอด้วยความสงบไม่มี…แคมป์เดวิดสถานที่พักผ่อน ปล่อยใจให้เป็นอิสระ เป็นอาศรมสำหรับประธานาธิบดีสหรัฐทุกท่าน ที่จะมาใช้ "ความสงบเงียบ" ตกลงใจในเหตุการณ์สำคัญของโลกตั้งแต่ 50 ปีที่แล้วตราบจนถึงทุกวันนี้
..........ตั้งแต่เกิดสถานการณ์ก่อการร้ายในนิวยอร์คและวอชิงตัน ดีซี เมื่อ 11 ก.ย. 44 ประธานาธิบดีสหรัฐเดินทางไปที่แคมป์เดวิดเกือบทุกสุดสัปดาห์เพื่อใช้ความสงบ สันโดษ ผ่อนคลาย และเพื่อใคร่ครวญหารือกับบุคคลสำคัญเท่าที่จำเป็น หาทางแก้ปัญหาและวางแผนเอาชนะสงครามก่อการร้ายชนิดถอนรากถอนโคน เรื่องราวของแคมป์เดวิดเป็นเวทีสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

ประวัติความเป็นมาของแคมป์เดวิด
..........ในปี พ.ศ.2439 รัฐบาลสหรัฐอนุมัติให้จัดซื้อพื้นที่ซึ่งไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้ เพื่อเตรียมการทดลองปรับปรุงคุณภาพดินที่ไร้คุณภาพ ให้กลับเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์สามารถเพาะปลูกพืชได้อีก และจะใช้เป็นพื้นที่สาธิตทางการเกษตรของอเมริกา คณะกรรมการจึงได้เลือกเอาพื้นที่บริเวณอุทยานภูเขาคาท๊อคทิน (Catoctin) ในรัฐแมรี่แลนด์ ซึ่งตรงกับความต้องการของทางราชการ แต่โครงการทดลองไม่เสร็จสมบูรณ์ตามเป้าหมาย
..........ต่อมาในปี พ.ศ.2482 สมาคมสงเคราะห์เด็กพิการ (โรคง่อย) แห่งรัฐแมรี่แลนด์ ได้ขอเข้ามาใช้พื้นที่ดังกล่าวจัดสร้างเป็นที่พักสำหรับเด็กพิการและตั้งชื่อว่าแคมป์มิสตี้ (Camp Misty) อยู่ได้แค่ปีเดียวก็ต้องขนย้ายเด็กพิการเหล่านั้นออกไป เพราะพื้นที่นี้ไม่ใช่พื้นที่ที่มีระดับราบเรียบ (เป็นส่วนหนึ่งของภูเขา) ไม่เหมาะกับการใช้เก้าอี้ล้อหมุน (wheelchair) ของเด็กพิการ ทางการรัฐแมรี่แลนด์จึงเข้ามาปรับปรุงก่อสร้างเพิ่มเติม ตั้งชื่อใหม่ว่าค่าย ไฮคาท๊อคทิน (Hi-Catoctin) เพื่อเป็นรีสอร์ตสำหรับข้ารัฐการ และครอบครัวของรัฐแมรี่แลนด์มาใช้พักผ่อน ในสมัยนั้น แฟรงคลิน ดี รูสเวลท์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เป็นที่ทราบกันดีว่าท่านมีปัญหาเรื่องโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังและไม่ชอบอากาศร้อน โดยปกติประธานาธิบดีรูสเวลท์จะหาเวลาพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธ์โดยล่องเรื่อยอทช์ตามแม่น้ำโปโตแมคในวอชิงตัน ดีซีทุกสุดสัปดาห์
..........เจ้าหน้าที่ รปภ.ประจำตัวประธานาธิบดีรูสเวลท์ ไม่สบายใจนัก เพราะขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว จึงคิดหารูปแบบ วิธีการ และสถานที่ ให้ประธานาธิบดีได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่และประการสำคัญที่สุดต้องปลอดภัย
..........ท่านผู้อ่านที่เคยไปเที่ยว ไปเรียน หรือผ่านไปวอชิงตัน ดีซี ตอนหน้าร้อนคงจะนึกออกนะครับว่า “โคตรร้อน” จริงๆ
..........คณะแพทย์และเจ้าหน้าที่ รปภ.กำหนดกันว่าสถานที่พักผ่อนที่เหมาะสม ควรจะอยู่ในรัศมีประมาณ 100 ไมล์จากวอชิงตัน ดีซี ควรจะเป็นพื้นที่บริเวณยอดเขาที่มีอากาศบริสุทธิ์เย็นสบาย เลือกไปเลือกมาก็พบว่าแคมป์ไฮคาท๊อคทินนี่แหละตรงเสป็กที่สุด
..........22 เมษายน 2485 ประธานาธิบดีรูสเวลท์ไปชมพื้นที่ทันที ในแคมป์มีกระท่อมลำลองอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง พอเป็นรูปเป็นร่าง ประมาณการว่า ถ้าจะต้องปรับปรุงให้ประธานาธิบดีมาอยู่เพื่อพักผ่อนจะต้องใช้งบประมาณราว 18,650 เหรียญ พื้นที่ตรงนี้มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่าวอชิงตัน ดีซีประมาณ 10 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี ประการสำคัญที่สุดคือความสงบเงียบอย่างแท้จริง ประธานาธิบดีรูสเวลท์เห็นแล้วถูกใจที่สุด
..........สถานที่พักผ่อนสำหรับข้ารัฐการและครอบครัวของรัฐแมรี่แลนด์จึงแปรสภาพเป็นสถานที่พักผ่อนของประธานาธิบดีตั้งแต่นั้นมา ด้วยความที่ประธานาธิบดีโปรดปรานมากจึงตั้งชื่อใหม่ว่า “แคมป์แชงกรีล่า (Camp Shangri-La)”
..........ขอแถมเป็นข้อมูลสักนิดครับว่า แชงกรีล่า เป็นชื่อสถานที่จากหนังสือนวนิยายเรื่อง Lost Horizon แต่งโดย James Hilton หมายถึงสถานที่มีความงดงามอย่างเรียบๆที่มนุษย์ใฝ่ฝันอยากจะไปอยู่ ถ้าคิดแบบไทย ๆ ก็คงหมายถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประมาณนั้นแหละครับ
..........ประธานาธิบดีรูสเวลท์มาพักผ่อนที่แคมป์แชงกรีล่า บ่อยครั้งและใช้เป็นที่ประชุมกลุ่มเล็กๆ ตกลงใจ
บัญชาการรบในเหตุการณ์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 บุคคลสำคัญที่มาประชุมร่วมหัวจมท้าย และบัญชาการรบร่วมกับประธานาธิบดีรูสเวลท์ คือ นายกรัฐมนตรี เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล ของอังกฤษ
..........เมื่อทหารสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีผ่านไป 2 สัปดาห์ประธานาธิบดีรูสเวลท์ได้เชิญพลเอกดักลาส แมคอาเธอร์ พลเอกนิมิตซ์และพลเอกฮัลซี่ย์ มาฉลองความสำเร็จที่นี่
..........แคมป์แชงกรีล่าในสมัยนั้นมีอาคารในลักษณะกระท่อมไม้ซุงแบบในชนบทกระจายกันอยู่ 20 หลัง ระบบประปาและเครื่องทำน้ำร้อนยังไม่สมบูรณ์
..........เรื่องราวที่ประธานาธิบดีรูสเวลท์ไปพักผ่อนที่แคมป์แชงกรีล่านี้ถูกปิดเป็นความลับสุดยอดเพื่อการรักษาความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว แต่แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ไม่รอดจากสายตาของสื่อมวลชนที่พยายามสืบค้นมานาน แคมป์แชงกรีล่าถูกเปิดเผยโดยหนังสือพิมพ์เดอะ บัลติมอร์ ซัน (The Baltimore Sun) เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2488 โดยนักข่าวหัวเห็ด แฟรงค์ เฮนรี่ และแฟรงค์ มิลเลอร์ ได้เช่าเครื่องบินเล็กไปวนเหนือแคมป์แชงกรีล่า และถ่ายภาพทางอากาศของแคมป์แชงกรีล่ามาตีพิมพ์ให้ประชาชนอเมริกันได้รับทราบ
...........พูดถึงการรักษาความปลอดภัยในสมัยนั้น ใช้ทหารนาวิกโยธินรวม 130 นายดูแลและรับผิดชอบเรื่องการรักษาความปลอดภัยตั้งแต่ยามประตูหน้าและลาดตระเวนรอบรั้วรอบค่าย ป้อมยามทางเข้ามีเพียงทหารยาม 1 นาย มีไม้กั้นยานพาหนะเข้า - ออก อำพรางว่าเป็นเพียงค่ายทหารเล็กๆ ค่ายหนึ่ง
..........ส่วนเจ้าหน้าที่บริการภายในแคมป์ประธานาธิบดีรูสเวลท์ยกทีมทหารเรือ (ลูกเรือ) จากเรือยอทช์โปโตแมค (เรือประจำตำแหน่วประธานาธิบดีสหรัฐ) มาเป็นเจ้าหน้าที่บริการ
..........ถ้าเป็นเรื่องเข้าเวร-ยามใช้เรี่ยวแรงละก้อต้อง “นาวิกโยธิน” แต่ถ้าการบริการที่สะอาด เป็นระเบียบ อาหารอร่อย เพลงไพเราะก็ต้อง “ทหารเรือรูปหล่อ” ผมรู้สึกว่าหลักนิยมนี้แทบจะเหมือนกันทุกชาตินะครับ
..........เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้ยุติลง ประธานาธิบดีรูสเวลท์ห่างเหินไปจากแคมป์แชงกรีล่า เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวจึงหาทางออกกันว่า จะยกพื้นที่นี้กลับคืนให้เป็นอุทยานแห่งชาติหรือเป็นพื้นที่อนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ หรือจะให้กลับไปเป็นพื้นที่ทดลองทางการเกษตรเหมือนเดิม
..........ประธานาธิบดีรูสเวลท์ตกลงใจอย่างเด็ดเดี่ยวให้แคมป์แชงกรีล่าอยู่ในความดูแลของสำนักงานอุทยานแห่งชาติสหรัฐ 12 เมษายน พ.ศ.2488 ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ ถึงแก่อสัญกรรม แฮรี่ เอส ทรูแมนเป็นประธานาธิบดีต่อมา

แคมป์แชงกรีล่าในสมัยประธานาธิบดีทรูแมน
..........ประธานาธิบดี ทรูแมนและครอบครัว จะอยู่ในทำเนียบขาวเป็นส่วนใหญ่ หน่วยทหารนาวิกโยธินที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงถอนกำลังกลับที่ตั้งปกติและจะมาทำหน้าที่เมื่อประธานาธิบดีมาพักเท่านั้น ทรูแมนถึงจะไม่ค่อยได้มาพัก แต่ก็สั่งให้แคมป์แชงกรีล่าเปิดตลอดทั้งปี สั่งให้ทหารเรือมารับผิดชอบการบริการภายในแคมป์ 30 คน ให้ทหารบกมาทำหน้าทิ่ ชุดติดต่อสื่อสาร 20 นาย เพื่อรักษาการติดต่อสื่อสารกับทำเนียบขาว เรียกว่าหน่วย WHCA(White House Communication Agency) เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้จะอวสาน ทรูแมนกลับไปทำเนียบขาวเพื่อประชุมตกลงใจครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์โลกคือให้สหรัฐทิ้งระเบิดปรมณูในสันที่ 6 สิงหาคม 2488 ที่เมืองฮิโรชิมา และ 9 สิงหาคม 2488 ที่เมืองนางาซากิ
..........การเลือกที่พักผ่อนประจำตำแหน่งประธานาธิบดีตรงนี้มีความละเอียดรอบคอบ อิงแอบธรรมชาติมากที่สุด อาคารต่างๆสร้างเป็นแบบกระท่อมไม้ซุง ซ่อนพรางใต้แมกไม้ใหญ่ที่หนาทึบไม่สามารถตรวจการณ์ได้จากทางอากาศ ยกเว้นในหน้าร้อนหรือมองจากเครื่องบินๆในระดับต่ำมาก
..........เฟอร์นิเจอร์ในอาคารจะเน้นใช้ไม้ให้มากที่สุดเช่นผนัง พื้น เตียง โต๊ะ เก้าอี้ แต่ก็หรูหราสุดๆ เรื่องอากาศและอุณหภูมิเป็นมนต์สเน่ห์ของแคมป์แห่งนี้เพราะตั้งอยู่บนพื้นที่ส่วนยอดของภูเขา
..........ผู้รับผิดชอบแคมป์ในสมัยนั้นเล่าว่า ทรูแมนและภรรยาไม่ค่อยจะโปรดปรานแคมป์นี้เท่าใดนักการพักผ่อนของท่านคือเดิน 1.5 ไมล์ ว่ายน้ำ และอาบแดด ทรูแมนมาพักผ่อนที่แคมป์นี้น้อยครั้ง แต่ก็ใจป้ำอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวมาใช้บริการได้ กิจกรรมต้องห้ามเด็ดขาดของแคมป์นี้คือการเล่นดนตรี ร้องรำทำเพลง ส่งเสียงดัง
..........ไอเซนฮาวร์เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "แคมป์เดวิด"
..........20 มกราคม 2496 ไอเซนฮาวร์เข้ารับต่ำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อมาพักผ่อนครั้งแรกก็สั่งเปลี่ยนชื่อจากแคมป์แชงกรีล่าเป็น"แคมป์เดวิด"ตามชื่อหลานชายคนโปรด ให้ปรับปรุงอาคารที่พักของประธานาธิบดี ปลูกต้นไม้กั้นทำเป็นรั้วเพื่อจะได้เป็นส่วนตัวมากขึ้น เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวและรัฐมนตรีหมดสิทธิ์ที่จะมาใช้สถานที่พักผ่อนแห่งนี้ ไอเซนฮาวร์สั่งให้สร้างสนามกอล์ฟขนาด 3หลุม สร้างสนามยิงปืนสำหรับยิงเป้าบิน ถึงแม้จะต้องการมาพักผ่อนจริงๆ แต่ไอเซนฮาวร์ก็ห่วงและติดตามสถานการณ์สงครามเกาหลีอย่างใกล้ชิด
..........ในปี พ.ศ.2498 ไอเซนฮาวร์ มาพักฟื้นตามคำสั่งแพทย์หลังจากล้มป่วยเป็นโรคหัวใจ บรรดาคณะรัฐมนตรีจึงต้องย้ายมาประชุมที่แคมป์เดวิด ในสมัยนั้นมี ริชาร์ด นิกสัน เป็นรองประธานาธิบดี การประชุมครั้งหนึ่งในแคมป์เดวิดนั้น รัฐบาลสหรัฐมีมติสนับสนุนงบประมาณสร้างเขื่ออัสวาน (Aswan) แก่ประเทศอียิปต์
..........ไอเซนฮาวร์พักฟื้นในแคมป์เดวิดอย่างจริงจังเป็นเวลานานเนื่องจากปัญหาโรคหัวใจ
..........ผมคิดว่าประธานาธิบดีก็เป็นปุถุชน เมื่อต้องเผชิญกับงานหนัก ผู้คนห้อมล้อมากมาย มีแต่คนอยากจะพบ อยากจะคุยด้วย โดยมากมักจะเอาความทุกข์มาเล่าให้ฟังเพื่อขอเปลี่ยนเป็นความสุข ขอโน่น ขอนี่ ประจบสอพลอ เบื่อมากเข้าถึงจุดๆหนึ่งก็ต้องการจะหนีไปให้มันพ้นๆ ไม่รู้ไม่เห็นเสียบ้างก็ดี
..........ประเทศไทยควรจะมีโลกส่วนตัวแบบนี้ให้ผู้นำรัฐบาลบ้างจะดีไหม ?
..........บันทึกของแคมป์เดวิดที่สำคัญระบุว่า นายกรัฐมนตรีแมคมิลแลนของอังกฤษหลงใหลที่จะมาพักผ่อนกับไอเซนฮาวร์ที่นี่ คราวหนึ่งในวันอาทิตย์ ผู้นำทั้งสองไปโบสถ์(ในแคมป์)ด้วยกัน กลับมาพักผ่อนเต็มวันในวันอาทิตย์แล้วบินไปประชุมต่อในวอร์ชิงตัน มีผู้กล่าวว่านี่เป็นการประชุมที่ใช้เวลามากที่สุดและเป็นครั้งแรกที่ผู้นำของทั้งสองประเทศไปเข้าโบสถ์พร้อมกัน
..........ประวัติศาสตร์ของแคมป์เดวิดบ่งบอกว่าที่นี่เป็นสถานที่ของผู้นำอังกฤษและอเมริกามาสร้างความสัมพันธ์แนบแน่นและทำให้ทั้งสองประเทศนี้ร่วมหัวจมท้ายกันมาทุกเรื่อง ดังนั้นเมื่อ 20 ก.ย. 2544 ที่ประธานาธิบดีบุชกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสเพื่อประกาศสงครามกับผู้ก่อการร้าย ในที่นั้นมีนายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ ของอังกฤษมานั่งฟังอยู่ด้วยเห็นจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเลยครับ
(อ่านต่อฉบับหน้า)
----------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น