02 พฤศจิกายน 2552

สุนทรพจน์ยื่นคำขาดต่ออิรัก

สุนทรพจน์ยื่นคำขาดต่ออิรัก

แปลและเรียบเรียงโดย พลตรี นิพัทธ์ ทองเล็ก
ผู้อำนวยการสำนักวางแผนการฝึกร่วมผสมทหาร
กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด


..........จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กล่าวสุนทรพจน์ต่อชาวอเมริกันและชาวโลก เมื่อค่ำวันที่ 17 มีนาคม 2546 หรือ 18 มีนาคม 2546 เวลา 0800 น. ตามเวลาในประเทศไทย เป็นการยื่นคำขาดให้ประธานาธิบดีอิรักและบุตรชายต้องเดินทางออกนอกประเทศ เป็นสัญญาณว่าสงครามจะเกิดขึ้นแน่ ขณะที่ผมลงมือแปลสุนทรพจน์นี้ กองกำลังภาคพื้นดินของสหรัฐและพันธมิตรได้รุกออกจากคูเวตเข้าไปทางตอนใต้ของอิรักแล้ว
..........ผมตั้งข้อสังเกตุว่า ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที 2 เป็นต้นมา ยังไม่เคยมีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการเลยสักครั้งและสุนทรพจน์นี้น่าจะเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งที่นักการทหารควรได้รับรู้แนวทางการดำเนินการทั้งการทูตและการทหารของประเทศมหาอำนาจไว้เป็นกรณีศึกษา “ ความเป็นมาและเหตุผล”ก่อนตัดสินใจใช้กำลังทหาร ผมคิดว่าสุนทรพจน์ฉบับนี้สหรัฐประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน เปิดเผย ตรงไปตรงมา : เพื่อนร่วมชาติที่รัก เหตุการณ์เกี่ยวกับอิรักในเวลานี้ ได้มาถึงเวลาที่เราต้องตัดสินใจกันแล้ว เพราะว่าเป็นเวลากว่าสิบปี ที่สหรัฐและนานาชาติได้ดำเนินความพยายามมาด้วยความอดทน และให้เกียรติต่ออิรัก ในอันที่จะปลดอาวุธโดยปราศจากสงคราม ผู้ปกครองอิรักเองเป็นผู้ให้สัญญาว่า จะเปิดเผยและทำลายอาวุธทำลายล้างทั้งหมดที่ตัวเองมีอยู่ และเป็นไปตามเงื่อนไขข้อตกลงเพื่อที่จะยุติสงครามอ่าวเปอร์เซีย เมื่อปี 1991
..........นับตั้งแต่นั้นมา โลกได้ดำเนินการตามวิถีทางการทูตมาโดยตลอดระยะเวลา 12 ปีเต็ม ได้มีการออกคำสั่งบังคับใช้กับอิรักผ่านที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาตินับสิบฉบับ ส่งคณะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาวุธนับร้อยคนไปอิรักเพื่อดำเนินการปลดอาวุธอิรัก แต่ความศรัทธาเชื่อมั่นของเรากลับไม่ได้รับการสนองตอบ

..........ผู้ปกครองอิรักกลับใช้ช่องทางการทูตเป็นเครื่องมือหน่วงเหนี่ยวเวลา เอารัดเอาเปรียบ หลีกเลี่ยงมติคณะมนตรีความมั่นคงในการปลดวางอาวุธทั้งหมด และเป็นเวลานานหลายปี ที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาวุธแห่งสหประชาชาติ ต้องถูกข่มขู่คุกคามจากเจ้าหน้าที่ของอิรัก มีการใช้เครื่องมือดักฟังทางอิเล็กทรอนิกส์ และหลอกลวงกันอย่างเป็นระบบ
..........ความพยายามที่จะปลดอาวุธอิรักโดยสันติต้องล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะว่าแท้ที่จริงแล้ว คนที่เรากำลังทำงานด้วย มิใช่คนที่รักสันติภาพ ข้อมูลข่าวกรองที่รัฐบาลชุดนี้ และรัฐบาลชาติอื่นๆ รวบรวมมาไว้ ได้บ่งชี้ว่า ผู้ปกครองอิรักยังคงครอบครองและซ่องสุมอาวุธที่มีอันตรายร้ายแรงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้ปกครองของอิรักยังได้เคยใช้อาวุธทำลายล้างนี้ให้เห็นมาแล้วทั้งกับประชาชนประเทศเพื่อนบ้านและกับประชาชนของอิรักเอง ผู้ปกครองอิรักในปัจจุบัน มีประวัติความก้าวร้าวที่ไม่หยุดหย่อนในตะวันออกกลาง ด้วยจิตใจที่ซ่อนลึกไว้ด้วยความจงเกลียดจงชังสหรัฐ ตลอดจนมิตรประเทศของสหรัฐ ได้มีการช่วยเหลือ ฝึกฝน และเป็นฐานที่พักให้แก่ผู้ก่อการร้าย รวมทั้งหน่วยปฏิบัติการของอัลเคด้า อันตรายที่เห็นได้ชัดคือ หากวันใดวันหนึ่งผู้ก่อการร้ายเหล่านี้มีอาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ หรืออาวุธนิวเคลียร์ไว้ในมือ เรื่องที่เคยประกาศไว้ว่าจะเข่นฆ่าสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์นับหมื่นนับแสนในประเทศของเรา และประเทศอื่นๆ ก็มีทางเป็นจริงได้สหรัฐอเมริกามีอำนาจตามหลักอธิปไตย ที่จะใช้กำลังของตนปกปักรักษาความมั่นคงของชาติเราเองเอาไว้ และภาระหน้าที่นี้เป็นของข้าาพเจ้า ตามที่ได้สาบานเอาไว้ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุด และจะต้องรักษาสัจจะคำสาบานนี้ไว้ด้วยภัยคุกคามที่มีต่อประเทศของเรา สภาคองเกรสสหรัฐจึงได้ลงคะแนนเสียงแสดงมติเมื่อปีที่แล้วอย่างท่วมท้นสนับสนุนการใช้กำลังกับอิรัก อเมริกาได้พยายามประสานงานกับสหประชาชาติ ให้รับทราบภัยคุกคามที่เกิดขึ้น เพราะว่าเรายังต้องการที่จะแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีด้วยความเชื่อมั่นในภารกิจของสหประชาชาติ เพราเหตุผลประการหนึ่งในการก่อตั้งสหประชาชาติภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ มีหน้าที่จัดการกับประเทศผู้รุกรานก่อนที่จะมีการเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ และรักษาไว้ซึ่งสันติภาพ ในกรณีของอิรัก คณะมนตรีความมั่นคงได้ดำเนินการดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 ตามมติ 678 และ 687 ที่ยังมีผลบังคับใช้ สหรัฐพันธมิตรมีอำนาจในการใช้กำลังเข้าจัดการอาวุธทำลายล้างสูงได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรามีอำนาจที่จะจัดการหรือไม่ ว่าแต่ว่าเราจะทำหรือไม่เมื่อเดือนกันยายน ปีที่แล้ว ข้าพเจ้าได้ไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ กล่าวเรียกร้องให้นานาประเทศรวมตัวกันขจัดภัยอันตรายที่กล่าวมาให้จบสิ้นไป และในวันที่ 8 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว คณะมนตรีความมั่นคงก็ได้ลงมติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ เห็นด้วยกับร่างมติที่ 1441 ประกาศถึงการละเมิดพันธกรณีที่อิรักมีอยู่กับสหประชาชาติ ซึ่งอิรักจะต้องได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงตามมา หากอิรักยังไม่ปลดวางอาวุธทั้งหมดทันทีวันนี้ยังไม่มีประเทศใดที่จะออกมากล่าวอ้างได้ว่า อิรักได้ปลดอาวุธแล้ว และอันที่จริงอิรักจะไม่มีวันปลดอาวุธตราบเท่าที่ซัดดัม ฮุสเซ็น ยังอยู่ในอำนาจช่วง 4 เดือนครึ่งที่ผ่านมา สหรัฐและพันธมิตรได้ทำงานภายในกรอบของคณะมนตรีความมั่นคง บังคับใช้คำสั่งที่มีมาแต่แรก และก็มีประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงบางประเทศประกาศตัวอย่างเปิดเผยว่าจะใช้สิทธิพิเศษยับยั้งคำสั่งมาตรการใดๆ ที่เป็นการบีบบังคับให้อิรักต้องปลดวางอาวุธ ทั้งๆ ที่รัฐบาลประเทศเหล่านี้ก็เห็นด้วยกับอันตรายที่อาจเกิดจากอิรัก แต่รัฐบาลประเทศเหล่านั้นยังไม่คิดจะแก้ปัญหาร่วมกันเพื่อจรรโลงไว้ซึ่งสันติภาพของโลก หลายประเทศต่างมีแนวทางแก้ไขและความอดทนต่อภัยคุกคามสันติภาพแตกต่างกัน ในเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงไม่อาจแบกรับภาระรับผิดชอบนี้ไว้เอง สหรัฐก็จะเป็นฝ่ายที่แบกรับภารกิจนี้ และสหรัฐจะขอดำเนินการแก้ไขด้วยตัวเอง หลายวันที่ผ่านมา รัฐบาลของประเทศในตะวันออกกลางบางประเทศก็ได้ดำเนินการในส่วนของตนเอง ด้วยการสื่อข่าวสารทั้งโดยเปิดเผยและโดยส่วนตัวเรียกร้องให้ผู้นำเผด็จการเดินทางออกจากอิรัก เพื่อที่กระบวนการปลดอาวุธจะได้สามารถดำเนินไปได้อย่างสันติ...แต่คำตอบกลับมาจวบจนบัดนี้ มีแต่คำปฏิเสธ ความโหดร้ายทารุณที่ดำเนินติดต่อกันมานานนับทศวรรษ ถึงเวลาที่จะต้องสิ้นสุดลง ซัดดัม ฮุสเซ็น พร้อมด้วยบุตรชายจะต้องออกจากอิรักภายใน 48 ชั่วโมง และการปฏิเสธที่จะทำตาม จะส่งผลให้เกิดการใช้กำลังทหาร สหรัฐจะเป็นผู้เลือกเวลาปฏิบัติการ สำหรับชาวต่างชาติ นักข่าว คณะผู้ตรวจสอบอาวุธ เราขอให้ท่านเดินทางออกนอกประเทศอิรักทันทีชาวอิรักจำนวนมากคงจะได้ยินได้ฟังสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวในคืนนี้ด้วย และจะมีการแปลในระหว่างการถ่ายทอดสัญญาณวิทยุ ซึ่งข้าพเจ้าก็ขอบอกกล่าวด้วยว่า หากเราจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติการทางทหาร เราจะมุ่งไปยังตัวบุคคลที่เป็นผู้นำประเทศของท่าน ไม่ใช่กับพวกท่าน และในขณะที่กองกำลังทหารของเราดำเนินการถอดถอนอำนาจของพวกเขาเหล่านั้น เราจะส่งอาหารตลอดจนเวชภัณฑ์ที่จำเป็นไปให้แก่ท่าน เราจะทำลายตัวต้นเหตุก่อเรื่องสยองขวัญ และเราจะช่วยท่านสร้างประเทศอิรักใหม่ ที่มั่งคั่งและมีอิสสระเสรีประเทศอิรักใหม่จะไม่ใช่ประเทศผู้ก่อสงครามรุกรานประเทศเพื่อนบ้านของท่านอีกต่อไป ไม่มีโรงงานผลิตยาพิษ ไม่มีการประหารผู้ที่เห็นแตกต่างกับผู้ปกครองอีกต่อไป ไม่มีห้องลับไว้ทรมาน และไม่มีห้องที่มีไว้สำหรับข่มขืนใคร ในอีกไม่ช้า ทรราชจะหายไป วันแห่งการปลดปล่อยสู่เสรีภาพใกล้จะมาถึงแล้วซัดดัม ฮุสเซ็น อยู่ในอำนาจมานาน แต่ไม่สายเกินไปที่ทหารอิรักจะรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและปกปักรักษาประเทศชาติของท่านไว้ ด้วยการเปิดทางให้กองกำลังพันธมิตรเข้าสู่ประเทศของท่านโดยสันติ กองกำลังของเราจะมีคำชี้แนะแก่กองทหารต่างๆ ของอิรักอย่างชัดเจนว่า จะต้องดำเนินการอย่างใด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีข้าพเจ้าขอเรียกร้องให้ทหารอิรักและเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองทุกคนว่า หากมีสงครามเกิดขึ้น จงอย่าสู้เพื่อผู้ปกครองที่กำลังจะต้องจากไปและจะไม่คุ้มกับชีวิตของพวกท่าน ทหารอิรักทุกๆ นาย ตลอดจนเจ้าหน้าที่พลเรือนควรจะฟังคำเตือนนี้ไว้ด้วยว่า ในการเผชิญหน้ากัน ชะตาของท่านจะขึ้นอยู่กับการกระทำของท่าน จงอย่าทำลายบ่อน้ำมันชึ่งเป็นแหล่งที่มาของความมั่งคั่งของประชาชนชาวอิรัก อย่าเชื่อฟังคำสั่งให้ใช้อาวุธทำลายล้างกับใครรวมทั้งกับประชาชนชาวอิรัก เพราะจะมีการดำเนินการฟ้องร้องตามมาในข้อหาอาชญากรสงคราม ซึ่งจะต้องถูกลงโทษ ท่านไม่อาจแก้ตัวได้เลยว่า "ผมทำไปตามคำสั่ง"หากซัดดัม ฮุสเซ็น เลือกที่จะเผชิญหน้า เราชาวอเมริกันเชื่อได้เลยว่า เราได้มีมาตรการต่างๆ ไว้ในอันที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสงคราม และก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายชนะ ชาวอเมริกันต่างรู้ดีอยู่แล้วถึงสิ่งที่จะต้องสูญเสียในการแก้ไขปัญหาขัดแย้ง เช่นเดียวกับที่เราได้เคยสูญเสียมาแล้วในอดีต สงครามไม่ได้มีความแน่นอนอะไร นอกจากการที่จะต้องเกิดการเสียสละ หนทางเดียวที่จะลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียและความยืดเยื้อของสงคราม มีแต่ต้องทุ่มกำลังแสนยานุภาพอย่างเต็มกำลังเข้าหากัน ซึ่งเราพร้อมแล้วถ้าซัดดัม ฮุสเซ็น พยายามที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป นั่นเท่ากับตั้งตนเป็นศัตรูไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ชาวอเมริกันและพันธมิตรของเราไม่อาจมีชีวิตอยู่ภายใต้ความกดดันของการก่อการร้าย ภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้ายต้องถูกกำจัดไปพร้อมๆ กับการปลดวางอาวุธ

..........รัฐบาลอเมริกันตระหนักดีถึงภัยอันตรายในภายภาคหน้า แต่เราก็พร้อมและแน่ใจว่าเราจะต้องชนะ เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องมาตุภูมิของเรา เราได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ของเราที่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวไปประสานกับเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของอิรัก ข้าพเจ้าสั่งการให้เข้มงวดความปลอดภัยของท่าอากาศยาน เพิ่มการลาดตระเวนของหน่วยรักษาชายฝั่ง หน่วยงานด้านความมั่นคงของเรากำลังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทั่วทั้งแผ่นดินอเมริกา หากศัตรูจะโจมตีเราเพื่อให้เสียขวัญ เราขอบอกว่าเราจะไม่เสียขวัญสหรัฐอเมริกาจะยังมั่นคงยืนหยัดตลอดไป
..........เราคือประชาชนผู้รักสันติ แต่ก็ไม่ใช่พวกเปราะบางแตกตื่นขวัญเสียได้ง่ายๆ เราจะไม่ยอมให้อันธพาลมาข่มขู่เราได้ และถ้าศัตรูกล้าที่จะทำการโจมตีเรา คนเหล่านั้น ตลอดจนคนที่ให้ความช่วยเหลือจะต้องได้รับเคราะห์กรรมที่น่ากลัวยิ่งกว่าการที่เรากำลังจะเป็นฝ่ายลงมือปฏิบัติการในเวลานี้ เป็นเพราะว่าหากเรามัวแต่นั่งเฉย ไม่ทำอะไรเลย จะเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายยิ่งกว่า เพราะว่าในอีกปีเดียว หรือ 5 ปีข้างหน้า อำนาจในการทำลายล้างของอิรักต่อบรรดาประเทศเสรีทั้งหลายจะมีมากขึ้นกว่านี้หลายเท่าตัว ด้วยขีดความสามารถต่างๆ ที่มีอยู่ ซัดดัม ฮุสเซ็น พร้อมด้วยพลพรรคผู้ก่อการร้าย จะเป็นฝ่ายเลือกเวลาลงมือทำร้ายประเทศอื่นเมื่อมีกำลังกล้าแข็งมากที่สุด ทำให้เราต้องเลือกที่จะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามนั้นเสียตั้งแต่วันนี้ ในขณะที่มันเริ่มปรากฎขึ้นมาให้เห็น และก่อนที่มันจะปรากฎขึ้นมาเหนือขอบฟ้าและเมืองต่างๆ ของเรา
..........การแสวงหาสันติภาพนั้นย่อมต้องการความร่วมมือจากทุกประเทศ เราจะต้องยอมรับความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้นี้ ซึ่งในช่วงศตวรรษที่ 20 ได้มีบทเรียนที่บางประเทศยอมโอนอ่อนผ่อนตามให้กับผู้นำเผด็จการที่มีความเป็นนักฆ่าอยู่ในตัว ปล่อยให้ภัยร้ายเหล่านี้เติบใหญ่กลายเป็นตัวการสร้างสงครามโลก สังหารหมู่ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติมาแล้ว ในศตวรรษใหม่นี้ เกิดมีบุคคลที่เป็นภัยขึ้นมาพร้อมกับแผนการที่จะใช้อาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ และอาวุธนิวเคลียร์ สร้างความสยองขวัญกับชาวโลก การโอนอ่อนผ่อนตามจะนำมาซึ่งการเป็นฝ่ายถูกทำลายล้างอย่างที่ไม่เคยปรากฏกันมาก่อนในโลกนี้ บรรดานักก่อการร้ายและรัฐก่อการร้ายไม่เคยที่จะเปิดเผยและประกาศแผนคุกคามนี้ออกมาอย่างเป็นทางการ การตอบสนองต่อศัตรูประเภทที่ว่านี้หากต้องรอให้มันลงมือโจมตีก่อน ย่อมไม่ใช่เป็นการป้องกันตัวเอง หากแต่เป็นการฆ่าตัวตาย .โลกจะต้องปลดอาวุธซัดดัมฮุสเซ็นตั้งแต่บัดนี้ในขณะที่เรากำลังปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบธรรมของประชาคมโลก เราย่อมปกป้องประเทศของเราเองไปด้วย ตามนัยที่กล่าวมานี้ ซึ่งตรงข้ามกับซัดดัม ฮุสเซ็น เพราะเราเชื่อว่า ประชาชนชาวอิรักก็สมควรได้รับอิสรภาพ เสรีภาพตามสมควรกับความเป็นมนุษย์ และเมื่อผู้นำเผด็จการรายนี้จากไป สิ่งนี้จะเป็นตัวอย่างอันดีแก่เหล่าชาติตะวันออกกลางที่รักสันติ มีอำนาจปกครองตนเอง สหรัฐพร้อมด้วยประเทศอื่น ๆ จะร่วมสร้างสรรค์เสรีภาพและสันติภาพในภูมิภาค นี่เป็นเป้าหมายที่ใช่ว่าจะสามารถบรรลุผลในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน แต่ต้องอาศัยเวลาอำนาจและเสรีภาพในความเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งซึ่งปรากฏอยู่ในทุกๆ ชีวิต ทุกหนแห่งในโลก และอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งความมีอิสรภาพ ย่อมมีไว้เพื่อเอาชนะความเกลียดชังฝังลึกและความรุนแรงและจะ แปรเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์อันเป็นพรสวรรค์ของมนุษย์ทั้งชายและหญิง ในการใฝ่หาสันติ
..........นี่คือเส้นทางในอนาคตที่อเมริกาเลือกเดิน ชาติที่เป็นอิสระย่อมมีภาระหน้าที่ที่จะต้องปกปักรักษาประชาชนของตนเอง รวมตัวกันคัดค้าน ต่อต้านความรุนแรงอย่างที่เราได้เคยกระทำกันมาแล้ว อเมริกาและพันธมิตรจะเป็นผู้แบกรับความรับผิดชอบนี้ไว้

----------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น