02 พฤศจิกายน 2552

ชนกลุ่มน้อย…(ไม่น้อย)...ในพม่า (3)

ชนกลุ่มน้อย…(ไม่น้อย)...ในพม่า (3)
(ชนเผ่าว้า-นักรบเถื่อน-นักล่าหัวมนุษย์)

แปลและเรียบเรียงโดย พลตรี นิพัทธ์ ทองเล็ก
ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
E-mail: nthonglek@hotmail.com


..........บทความของผมผ่านไปแล้ว 2 ตอน ว่าด้วยเรื่องของ "ชนเผ่าชิน" "เผ่า คะฉิ่น" และ "กะเหรี่ยง" ตอนนี้เป็นตอนที่ 3 ยิ่งค้นคว้าก็ยิ่งพบข้อมูลในทางลึกที่แปลกหูแปลกตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของชนกลุ่มน้อยในพม่านั้น โดยมากเป็นการบันทึกของพวกมิชชั่นนารีชาวอังกฤษ และอเมริกันที่ได้ทุ่มเทชีวิตเสี่ยงตายเข้าไปทำหน้าที่เป็นหมอสอนศาสนา โน้มน้าวให้พวกคนเหล่านี้หันมานับถือศาสนาคริสต์
..........ประวัติศาสตร์ภูมิหลังการต่อสู้เพื่อแย่งชิงกันเป็นใหญ่ การต่อสู้เพื่อการแยกตัวเป็นรัฐอิสระ การต่อสู้แย่งชิงทรัพยากร การเกี่ยวพันกับยาเสพติดทั้งทางตรงและทางอ้อมของบรรดาชนกลุ่มน้อยเผ่าต่าง ๆ ในแผ่นดินพม่านั้น ลึกลับซับซ้อน ตัวละครมากมายหลากหลาย ยากแก่การจดจำ เอามาสร้างเป็นภาพยนตร์ก็คงเขียนบทได้ยากเต็มที ยอกย้อนซ่อนเงื่อน ไม่สนุกเหมือนดู "บ้านทรายทอง"
..........ในขณะที่ผมกำลังแปลและเรียบเรียงเรื่องบรรดาชนกลุ่มน้อย และตัดสินใจว่าจะเขียนเรื่องชนเผ่าไหนดี ? ก็พอดีมีสถานการณ์ชายแดนที่เกี่ยวข้องกับ "ชนกลุ่มน้อย" ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของไทยเกิดขึ้นมาพอดี
..........ย้อนไปเมื่อ 17 มกราคม 2543 หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ลงข่าวว่า ทางการพม่าได้ดำเนินการอพยพ "ชนเผ่าว้า" จากบริเวณชายแดน พม่า - จีน ราว 50,000 คน ลงมาตั้งถิ่นฐานใหม่บริเวณชายแดน พม่า - ไทย
..........ความเคลื่อนไหวครั้งนี้น่าสนใจ เรื่องใกล้ตัวติดรั้วบ้าน ผมเลยตัดสินใจจะนำเรื่องราวของ "ชนเผ่าว้า" มาลงในบทความตอนนี้ซะเลย เพราะผมเองก็เคยได้ยินชื่อ "ว้า" เหมือนกัน แต่ยังไม่ค่อยรู้ภูมิหลังที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ? โดยผมจะขอนำเสนอในเรื่องของ "ประเพณีและวิธีการล่าหัวมนุษย์ของชาวว้า" และ "บทบาทการต่อสู้ของชนเผ่าว้า"
..........ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของ "ชนเผ่าว้า" นี่หายากจริง ๆ ครับ แต่เท่าที่รวบรวมมาได้ก็คิดว่าน่าจะพอพูดคุยกันได้พอหอมปากหอมคอ
.........."ชนเผ่าว้าเป็นชนเผ่าล่าหัวมนุษย์ เป็นนักรบที่ดุร้ายที่สุด ไม่มีใครอยากจะรบกับพวกว้า ว้าไม่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของใคร"……….หนังสือหลายเล่มจะเริ่มต้นด้วยข้อความนี้ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของอังกฤษซึ่งบันทึกเอาไว้ว่า "ชนเผ่าว้า" ปักหลักอาศัย มีถิ่นฐานเป็นของตนเอง (เป็นอิสระ) อยู่ทางชายขอบทิศตะวันออกของรัฐฉาน (Shan State) อาศัยอยู่บนเขาบริเวณรอยต่อชายแดน พม่า - จีน บริเวณต้นน้ำสาละวิน มียอดประชากรรวมราว 90,000 - 300,000 คน กระจัดกระจายอยู่บนเขา Wa Hills (ดูจากแผนที่) เมื่อดูยอดรวมประชากรเหล่านี้แล้วก็นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับชนเผ่าอื่น ๆ ในพม่า
.........."ชนเผ่าว้า" ยังนับถือภูตผีปีศาจ ชอบสะสมหัวกะโหลก โดยเชื่อว่าหัวกะโหลกมนุษย์จะช่วยป้องกันวิญญาณชั่วร้าย จะทำให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ หัวกะโหลกมนุษย์จะช่วยคุ้มครองให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข เมื่อพืชผลอุดมสมบูรณ์ ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วก็จะมีความสุขตามไปด้วย
.........."ชนเผ่าว้า" เชื่อว่ายิ่งได้หัวกะโหลกของคนแปลกหน้า (คนที่ไม่เคยพบมาก่อน) ยิ่งจะมีคุณค่า มีฤทธานุภาพสูง เพราะเมื่อฆ่าคนแปลกหน้าแล้ววิญญาณของเขาจะไม่สามารถหาทางออกไปจากบริเวณภูเขาที่พวกชาวว้าอยู่ได้ วิญญาณคนแปลกหน้าก็จะสถิตย์อยู่ ณ ที่นั้นนั่นเอง
..........มีการสำรวจพบว่าเส้นทางในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของพวกว้ามีหัวกะโหลกมนุษย์เรียงรายตาม 2 ฟากถนนถึง 300 หัวกะโหลก
..........ไม่ใช่เฉพาะหัวกะโหลกมนุษย์อย่างเดียว…… หัวกะโหลกสัตว์ใหญ่ทั้งหลาย เช่น หัวกะโหลกกวาง ฯลฯ ก็จะถูกนำมาประดับประดาในบ้านด้วยเช่นกัน
..........พวกว้ากลุ่มย่อย ๆ ที่กระจายกันอยู่จะมีนิสัยตัดไม้ทำลายป่า การปลูกพืชยังคงเป็นอาชีพหลัก และมีความสามารถในการจัดลำเลียงฝิ่นไปในภูมิประเทศที่เป็นเขาสูง
..........พวกว้าเพาะปลูกข้าว มัน และข้าวโพดเป็นพืชหลัก เมื่อดินจืดพืชพรรณไม่ผลิดอกออกผลก็จะไปหักล้างถางพงเอาใหม่ และที่ถนัดมากที่สุดตั้งแต่บรรพบุรุษคือการปลูกฝิ่น
..........ในอดีตเมื่อ "ชนเผ่าว้า" เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (BCP) นั้น เท่ากับว่าพวกว้ายอมติดต่อกับโลกภายนอก ว้าเรียนรู้การใช้อาวุธปืนที่ทันสมัยจากพื้นเพดั้งเดิมเป็นชนชาติที่ทรหดอดทน ไม่กลัวตาย เมื่อได้รับการฝึกใช้อาวุธก็กลายเป็นนักรบที่ทุก ๆ ฝ่ายอยากได้เป็นพันธมิตร พรรคคอมมิวนิสต์ใช้เวลานานพอสมควรในการสร้างความสนิทสนมไว้วางใจร่วมรบกันได้ระยะหนึ่ง จึงหว่านล้อมให้พวกว้าเลิกประเพณีการล่าหัวมนุษย์ เพราะก็เกรงว่าพวกว้าจะหันมาหาหัวกะโหลกเพื่อนร่วมงานพวกว้าเพิ่งจะเลิกล่าหัวมนุษย์ในต้นทศวรรษ 1970 นี้เอง
..........พวกผู้หญิงว้า จะมีผ้าพันรอบศรีษะสีดำ ประดับด้วยดอกไม้สีต่าง ๆ แซมด้วยอัญมณี ชาวว้าส่วนใหญ่นิยมเคี้ยวหมาก จะทำให้ฟันดำ โดยเห็นว่าฟันสีดำเป็นประเพณีดั้งเดิม และเป็นสิ่งสวยงาม
..........ปัจจุบันว้าแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มว้าเหนือมีถิ่นฐานเกาะติดระหว่างชายแดน พม่า - จีน อยู่กระจัดกระจายในพื้นที่ประมาณ 15,000 ตารางไมล์ อีกกลุ่มคือกลุ่มว้าใต้ มีถิ่นฐานอยู่บริเวณชายแดน พม่า - ไทย ในเทือกเขาดอยลาง ตามข้อมูลจากหนังสือหลายเล่มระบุว่ากลุ่มว้าใต้นี่แหละจะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมากที่สุด
.......... การใช้ชีวิตของชนเผ่าว้านั้น จะเรียบง่าย มี "ไม้ไผ่" เป็นวัสดุหลักในการใช้ชีวิตในป่าเขา ใช้ไม้ไผ่สร้างกระท่อม ทำตู้ เตียง และเครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ หุงข้าวด้วยกระบอกไม้ไผ่ กินหน่อไม้เป็นหลัก
..........บ้านของพวกว้าเป็นบ้านยกพื้น คนอาศัยอยู่ชั้นบน ชั้นล่าง (ใต้ถุน) เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ในทุก ๆ บ้านจะมีพื้นที่สำหรับทำพิธีบูชาวิญญาณ

ประเพณี และวิธีการล่าหัวมนุษย์
..........ในระหว่างที่อังกฤษปกครองพม่าอยู่นั้น อังกฤษก็ยอมรับว่ายังไม่สามารถเข้าไปถึงดินแดนที่พวกว้าอาศัยอยู่ได้ ทางการอังกฤษบันทึกเกี่ยวกับชนกลุ่มว้าด้วยความรู้สึกชิงชัง เหยียดหยามว่ามีว้าอยู่ 2 กลุ่ม คือ "ว้าเถื่อน" และ "ว้าเชื่อง"
..........การบันทึกของคนอังกฤษก็จะอคติกล่าวถึงพวก "ว้าเถื่อน" เสียเป็นส่วนใหญ่ มีเรื่องบันทึกไว้ว่าในปี 1939 หมอแขกชาวซิกข์ ผู้มีผ้าโพกหัวแบบแขกทั่วไปและมีหนวดเคราดกงามมีความจำเป็นต้องเดินทางผ่านเข้าไปในพื้นที่ของพวกว้า ปรากฏว่า หมอแขกคนนี้ต้องเผ่นหนีตายออกมาจากพื้นที่กลุ่มว้า โดยมีทหารอังกฤษคุ้มกันออกมาส่งอย่างแน่นหนา ด้วยเหตุที่ว่าชนเผ่าว้า เกิดพิสมัยอยากได้หัวกะโหลกของแขกคนนี้ ซึ่งสวยงามแปลกตาน่าจะสะสมไว้ เป็นหัวกะโหลกหนึ่งประจำหมู่บ้าน
..........ผมพยายามค้นหาข้อมูลประเพณีและวิธีการล่าหัวมนุษย์ของพวกว้า ซึ่งก็โชคดีที่ รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข มิตรรักของผมได้ไปพบว่า คุณสังคีต จันทนะโพธิ ได้เขียนบรรยายไว้อย่างละเอียดในหนังสือ "ว้าแดงมังกรดอย" ซึ่งผมจะขอสรุปให้ท่านได้อ่านเพลิน ๆ ดังนี้
..........ว้าไม่ฆ่าคนเพื่อเก็บกะโหลกไว้เล่น ๆ เท่านั้น บางทียังกินเนื้อเสียอีกด้วย ผู้ชายที่จะแต่งงานกับหญิงไม่ได้ นอกจากฆ่าคนเอาหัวไปเป็นของกำนัลให้ผู้หญิงเห็นใจเสียก่อน ในหมู่บ้านหนึ่ง ๆ ของว้าจะได้หัวกะโหลกคนมาปีละ 1 หัว เป็นอย่างน้อย มิฉะนั้นเชื่อว่าหมู่บ้านจะต้องประสบภัยพิบัติ ใครก็ตามที่สามารถล่าหัวมนุษย์มาได้ จะได้รับยกย่องว่ามีอุปการคุณแก่คนทั้งหมู่บ้านเป็นอย่างมาก ยกเว้นจากการฆ่าคนแล้ว พวกว้าจัดว่าเป็นเผ่าที่เรียบร้อย คือไม่เป็นขโมย ไม่ปล้นสดมภ์เอาทรัพย์สินของใคร ๆ
..........ว้าบางพวกไม่อาบน้ำ โดยเฉพาะผู้หญิงไม่นุ่งผ้า หรือใส่เสื้อ โดยเฉพาะในหน้าร้อน ฤดูล่าหัวมนุษย์คือหน้าร้อนประมาณเดือนมีนาคม หัวหน้าหมู่บ้านจะประกาศให้ชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านทราบ การล่าหัวมนุษย์จะไปสิ้นสุดในราวกลางเดือนเมษายน หากได้หัวมนุษย์มาแล้วจะมีพิธีการไหว้ผี และเลี้ยงดูกันอย่างใหญ่โต คนที่จะออกล่าหัวมนุษย์นี้มีไม่มาก หมู่บ้านที่มีประมาณ 300 หลังคาเรือน คณะชายฉกรรจ์ที่ล่าหัวมนุษย์มีประมาณ 10 - 12 คนเท่านั้น การใช้คนน้อยเสียงก็เบา หา "เหยื่อ" ได้ง่าย โดยเหยื่อจะไม่รู้ตัวก่อน เมื่อได้หัวมนุษย์มาแล้วก็จะรีบเดินทางกลับเข้าหมู่บ้าน หัว
มนุษย์หัวเดียวก็เพียงพอ แต่ถ้าหากได้อีก 1 หัว ย่อมเป็นที่ประกันได้ว่าพืชผลปีนั้นจะงอกงามไม่แห้งแล้งอับเฉา
..........นักล่าจะเดินเงียบมาก และเดินตีนเปล่า จะเริ่มทำงานในเวลาพลบค่ำ การจะเดินไปทิศทางใดใช้วิธีเสี่ยงโยนกระดูกไก่ลงบนพื้น ถ้าข้อกระดูกชี้ไปทางไหน เขาจะไปทางนั้น เมื่อว้าจากต่างหมู่บ้านมาพบกันจะหยุดทักปราศรัยกันด้วยดี การตัด
หัวของคนหมู่บ้านใกล้เคียงนั้นว้าไม่ทำ และถือเป็นการผิดอย่างยิ่ง ว้าจะไม่แตะต้องทรัพย์สินเงินทองของเหยื่อ แค่ตัดศรีษะไปเท่านั้น
..........เมื่อได้ตัดหัวคนมาแล้ว จะให้ผู้หญิงที่เป็นแม่หรือเป็นเมียของคนตัดหัวทำพิธีต้อนรับ โดยจะนำหัวคนตายออกมาจากถุงย่าม แล้วนางจะแสร้งร้องห่มร้องไห้ หลังจากนั้นก็จะเอาไม้ไผ่ปลายแหลมทิ่มแทงที่ลูกตาของหัวนั้น เพื่อทดสอบว่ามันได้หมดความรู้สึกเจ็บปวดแล้ว แล้วนางก็จะตอกไข่สดกรอกเข้าไปในปากของหัวนั้น เพื่อ
พิสูจน์ว่ามันจะไม่หิวอีกต่อไป เสร็จพิธีตรงนี้แล้วเป็นอันว่าหัวมนุษย์ที่ได้มานั้นได้รับอนุญาตให้นำเข้าไปในหมู่บ้านได้
..........ต่อมาก็จะนำหัวคนที่ยังสด ๆ นั้น ไปวางไว้บนเสาไม้ไผ่กลางลานหมู่บ้าน เพื่อเซ่นสรวงผีไร่ผีนา แล้วพวกว้าจะนำเอากระจาดบรรจุข้าวเปลือกไปตั้งไว้ข้างเสานั้น ใช้ไม้ซางเล็ก ๆ ทำเป็นท่อเชื่อมจากเสาไม้ไผ่มายังตะกร้า เมื่อหัวมนุษย์เริ่มเน่าก็จะมีน้ำเหลืองไหลมาตามไม้ซางที่เป็นท่อเชื่อมลงมาถูกข้าวเปลือกที่ตั้งอยู่ข้างล่าง ด้วยวิธีนี้พวกว้าเชื่อว่าข้าวที่ถูกคลุกด้วยน้ำเหลืองจะกลายเป็นข้าวพันธุ์ที่เต็มไปด้วยอาถรรพณ์ จะทำให้ข้าวพันธุ์อื่น ๆ ตกรวงงอกงาม รอดพ้นจากภัยพิบัติของธรรมชาติได้ ข้าวอาถรรพณ์เหล่านี้จะถูกนำไปแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านทุกครัวเรือนเพื่อเพาะปลูกต่อไป
..........ประมาณ 6 เดือน หัวมนุษย์เหล่านั้นจะย่อยสลาย เหลือเพียงแค่กะโหลก พวกว้าก็จะทำพิธีอัญเชิญหัวกะโหลกลงจากเสาเพื่อนำไปบรรจุไว้ ณ ดงหัวกะโหลกนอกหมู่บ้าน
..........ผมขอคัดลอกมาเล่าย่อ ๆ แต่เพียงเท่านี้ก็แล้วกันนะครับ อันที่จริงยังมีพิธีการบูชายันต์หัวกะโหลกด้วยการฆ่าวัวฆ่าควายอีกจำนวนมาก เพื่อให้พิธีสมบูรณ์ รู้ไว้แค่นี้ก็น่าจะพอ เอาไว้คุยกันพอหอมปากหอมคอ

บทบาทการต่อสู้ของชนเผ่าว้า
..........ผมยอมรับว่าข้อมูลของ "ชนเผ่าว้า" นั้นค่อนข้างกระจัดกระจาย ทั้ง ๆ ที่ "ชนเผ่าว้า" มีบทบาทในการสู้รบอย่างโชกโชน ถือได้ว่าเป็นตัวละครที่สำคัญตัวหนึ่งในสงคราม (ภายใน) ของสหภาพพม่ามากว่า 40 ปี จนถึงปัจจุบัน ผมขอสรุปข้อมูลของ Martin Smith เกี่ยวกับเรื่องการต่อสู้ของว้าพอเป็นสังเขปดังนี้
..........บุคคลผู้ที่ชนเผ่าว้าให้ความเคารพยำเกรง โดยยกให้เป็นหัวหน้าชนเผ่าว้าคือ โบ หม่อง (Bo Moung) ในอดีตเคยเป็นทหารในกองทัพพม่า รับราชการในเหล่าทหารสารวัตร โบ หม่อง ผู้นี้เป็นผู้นำชนเผ่าว้าผู้รักชาติ ปราบปรามการก่อความไม่สงบในรัฐฉาน และเป็นผู้นำกำลังเข้าตีเมือง Tangyan ชนเผ่าว้าราว 2 ล้านคนอาศัยกระจัดกระจายอยู่ในตะวันออกของในรัฐฉานรวมทั้งทางตอนใต้ของรัฐยูนานใน ประเทศจีน และบางส่วนในประเทศไทย พื้นที่ที่ว้าอยู่อาศัยอยู่ถือได้ว่าเป็นพื้นที่ภูเขาที่
กว้างใหญ่ ทางการจีนประมาณว่ามีชนเผ่าว้าอาศัยอยู่ในมณฑลยูนานประมาณ 300,000 คน นักมนุษย์วิทยาระบุว่าชนเผ่าว้าเป็นชนกลุ่มน้อยที่ "โลกลืม" ได้รับการกล่าวถึงน้อยที่สุดในบรรดาชนกลุ่มน้อยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
..........เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (BCP) พยายามสถาปนาพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้เป็นพื้นที่อิทธิพลของตน จึงพยายามดึงเอา "ชนเผ่าว้า" และ "ชนเผ่าโกกั้ง" เข้าเป็นพันธมิตรด้วย พรรคคอมมิวนิสต์พม่ามุ่งมั่นต้องการเอา "ชนเผ่าว้า" เป็นกำลังรบหลัก เพราะรู้ดีกว่า นักรบชนเผ่าว้านั้น "เป็นของจริง - รบจริง"
..........ในปี 1973 พรรคคอมมิวนิสต์พม่า และว้าก็บรรลุข้อตกลงเป็นพันธมิตรกันในอันที่จะล้มรัฐบาลย่างกุ้ง และแยกตัวเป็นรัฐอิสระ ชนเผ่าว้าไว้วางใจพรรคคอมมิวนิสต์พม่ามากถึงขนาดให้ บก.พรรคคอมมิวนิสต์เข้าไปตั้งอยู่ในในพื้นที่ของกลุ่มว้า
..........เมื่อกองทัพพม่าใช้ทั้งมาตรการทางทหาร และมาตรการทางการเมืองรุกต่อพรรคคอมมิวนิสต์พม่า จนทำให้ บก.ของ พรรคคอมมิวนิสต์พม่า ณ เมือง BAGO เมือง YOMA ต้องแตกพ่าย พรรคคอมมิวนิสต์พม่าคงเหลือ บก.อยู่ที่เมือง PANHSAN อีกเพียงแห่งเดียว ซึ่งเป็นที่มั่นสุดท้าย
..........เมื่อกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์พม่าเป็น "ชนเผ่าว้า" กองทัพพม่าไม่รีรอที่จะแทรกตัวเข้าไปทันที เพราะรู้ดีว่าสถานการณ์ทุกอย่างกำลังสุกงอม พรรคคอมมิวนิสต์พม่ากำลังระหองระแหงกับกลุ่มนักรบว้าอยู่พอดี เมื่อหันไปมองทางกลุ่มของ "ชนเผ่าโกกั้ง" สภาพความสัมพันธ์ก็คุกรุ่นไม่แพ้กัน
..........กองทัพพม่าพอจะเห็นชัดว่า "ประตูแห่งสันติภาพ" บานนี้เริ่มแง้ม ๆ ออก จึงส่งคนเข้าเกลี้ยกล่อม "ชนเผ่าว้านักรบ" ทันที ทำลับลับล่อล่อ เคลื่อนไหวแบบปกปิดกึ่งเปิดเผยได้พักเดียว พรรคคอมมิวนิสต์พม่า ก็เริ่มหวาดระแวง "นักรบว้า" ถึงขนาดที่ พรรคคอมมิวนิสต์พม่าต้องขอเปิดเจรจาเพราะเริ่มได้กลิ่นว่า "นักรบว้า" จะตีตนออกห่าง
..........พรรคคอมมิวนิสต์พม่าไม่สามารถครองใจ "นักรบกลุ่มว้า" ได้อีกต่อไป จึงได้ส่งคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์พม่า ชื่อ นาย โช เต็ง (Soe Thein) ไปเจรจากับชนเผ่าว้า ไปพูดจากันอีท่าไหนไม่ทราบ ดันไปลดระดับความสำคัญของนักรบกลุ่มว้าลง
..........ผู้นำของชนเผ่าว้าในตอนนั้นคือ Kyaun Nyi Lai และ Pauk Yu Chan ได้เรียกประชุมหารือกับบรรดาผู้นำว้ากลุ่มย่อย ๆ เพื่อหาทางออกกรณีความร้าวฉานระหว่าง พรรคคอมมิวนิสต์พม่า กับชนเผ่าว้า
..........ผลปรากฏว่าผู้นำว้ากลุ่มย่อยทั้งหลายมีมติให้ "ชนเผ่าว้า" แยกตัวออกจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่า ทันที
..........ฝ่ายพม่าซึ่งปรุงแต่งสถานการณ์ตรงนี้มานาน เฝ้ารอด้วยใจระทึก เมื่อเห็นรอยปริตรงนี้จึงมุ่งเข้า "ขยายผล" โดยการขอเจรจากับชนเผ่าว้า และกลุ่มโกกั้ง พร้อมกันในลักษณะรวบหัวรวบหาง
..........17 เม.ย.1989 สุดยอดวิทยายุทธเห็นผลทันตา กองทัพพม่าส่งมือชั้น "อ๋อง" ไปเจรจา ผลออกมาก็คือชนเผ่าว้าเป็นกบฎนำกำลังเข้าตี บก.พรรคคอมมิวนิสต์พม่า ณ เมือง Panhsan จนผู้นำ พรรคคอมมิวนิสต์พม่า นาย Ba Thein Tin และระดับผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์ราว 300 คนหนีตายลักลอบเข้าไปในประเทศจีน กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์ที่เหลือแตกออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งที่สำคัญและมีเขี้ยวเล็บแพรวพราวอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ คือ กลุ่ม UWSA (United Wa State Army)
..........นับเป็นความสำเร็จอีกครั้งหนึ่งของกองทัพพม่า ที่สามารถกล่อมให้นักรบว้าเข้าปราบปรามกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์ที่สู้รบกันมานาน 40 ปีได้สำเร็จ
แก้ปัญหาหนามยอกอกตรงนี้ได้อย่างล้ำลึก เสียกำลังพล (พม่า) และกระสุน (พม่า) แต่เพียงน้อยนิด
..........ทำสงครามนี่ครับ ไม่มีกติกาอยู่แล้ว ใครเก่งกว่า ก็ชนะ…….ก็มีเท่านั้น
..........ข้อมูลตรงนี้ก็น่าสนใจอีก…. หลังจาก พรรคคอมมิวนิสต์พม่า ล่มสลาย พม่าได้ "ชนเผ่าว้า" และ "ชนเผ่าโกกั้ง" มาเป็นพวกอีกต่างหาก กองกำลังว้าซึ่งมียอดกำลังพลราว 15,000 คน ได้สถาปนากลุ่มของกองกำลังตนเองขึ้นเป็น "Myanmar National Solidarity Party" ยังคงสภาพ "ชนเผ่าว้า" ที่ต้องการดำเนินการทางทหารและทางการเมืองควบคู่กันไป
..........ทุกอย่างดูจะราบรื่น กองทัพพม่ายังมิได้ไว้ใจกองกำลังของว้าเสียทั้งหมด ยังคงต้องการให้มีหลักประกันและข้อตกลงหยุดยิง และสร้างสันติภาพต่อไป
..........มิถุนายน 1989 คณะทำงานของ พล.ต.ขิ่น ยุ้นท์ (ยศในขณะนั้น) ได้เดินทางเข้าไปเพื่อหาลู่ทางเจรจา "หยุดยิง" และ "พัฒนาร่วมกัน" ครั้งนี้นับว่าเป็นการพบกันครั้งแรก
..........สิงหาคม 1989 ชุดเจรจาสันติภาพของ พล.ต.ขิ่น ยุ้นท์ ได้พบกลุ่มผู้นำว้าเป็นครั้งที่ 2 เพื่อขยายผลแห่งความเข้าใจอันดีต่อกัน โดยฝ่ายพม่าเริ่มหยิบยื่นความช่วยเหลือในรูปของการพัฒนาความเป็นอยู่ สร้างถนน โรงเรียน โรงพยาบาล และส่งมอบอาหาร
..........เดือนพฤศจิกายน 1989 บรรยากาศการเจรจาสันติภาพยังคงราบรื่นและต่อเนื่อง ชนิดที่เรียกว่าไม่สะดุดอะไรเลย เมื่อฝ่ายเสธ.ได้กรุยทางในรายละเอียดของการเจรจาหยุดยิงไว้เรียบร้อย ก็เป็นหน้าที่ของ "นายของทั้งสองฝ่าย" มา "กดปุ่ม"
..........การเจรจาหยุดยิงเป็นทางการระหว่างผู้นำกองทัพพม่ากับชนเผ่าว้า เป็นครั้งที่ 3 ณ เมืองลาชิโอ โดยฝ่ายพม่ามี พล.ต.ขิ่น ยุ้นท์ แม่ทัพภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แม่ทัพภาคตะวันออก และผู้บัญชาการกองพล เข้าเจรจากับผู้นำของกลุ่มว้า
..........การที่ชนเผ่าว้าถูกพรรคคอมมิวนิสต์พม่าใช้เป็นกำลังรบหลักไปสู้รบกับกองทัพพม่าเป็นเวลาราว 20 ปีนั้น ทำให้ชนเผ่าว้าอ่อนล้า ประสบกับความสูญเสียประชากรไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ชายว้านั้น ร่อยหลอหาทำยายากเหลือเกิน
..........ผมขอเสริมว่า พล.ท.ขิ่น ยุ้นท์ นั้น ดำรงตำแหน่งสำคัญ 3 ตำแหน่ง คือ เจ้ากรมข่าวทหาร (Directorate of Defense Services Intelligence : ทำหน้าที่ด้านการข่าว โดยเฉพาะข่าวลับ) ตำแหน่งเลขาธิการ SPDC คนที่ 1 และผู้อำนวยการสถาบันทางยุทธศาสตร์ (Office of Strategic Studies : ทำหน้าที่คล้ายกับ กอ.รมน.) ตำแหน่งทั้ง 3 นี้ เป็นการรวมเอาอำนาจหน้าที่ทั้งด้านการทหารและการเมืองเข้ามาไว้ในคนเดียว สามารถตกลงใจและสั่งการได้ทันที เรียกง่าย ๆ ว่า "เบ็ดเสร็จเด็ดขาด" จึงนับว่าเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญยิ่งคนหนึ่งในประเทศพม่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทการทำงานเจรจาสงบศึกกับชนกลุ่มน้อย 17 กลุ่ม เพื่อยุติสงครามระหว่างชนกลุ่มน้อยด้วยกันเอง และสงครามระหว่างชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลทหารพม่า
..........การประชุมสันติภาพครั้งที่ 3 เป็นความสำเร็จ ได้มีการตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับชนเผ่าว้า (ซึ่งแปลงสภาพเป็น Myanmar National Solidarity
Party แล้ว) ฝ่ายรัฐบาลทหารพม่าตกลงยอมรับข้อเสนอว่า "จะไม่ถือว่าชนเผ่าว้าเป็นกลุ่มนอกกฎหมายอีกต่อไป โดยมีผลตั้งแต่ 9 พ.ค.1989"
..........นอกจากนั้น รัฐบาลอนุมัติให้พื้นที่ซึ่งชนเผ่าว้าอาศัยอยู่นั้นเป็น "เขต ปกครองพิเศษ (2)" ในรัฐฉานตอนเหนือ (Northern Shan State Special Region (2)) โดย รัฐบาลกลางจะสนับสนุนในเรื่องงบประมาณ และอาหาร
..........กองทัพพม่ากับกองกำลังว้า (UWSA) ก็เคยกระทบกระทั่งกันจนเกือบจะต้องรบกันอีกครั้งในเหตุการณ์เมื่อเดือนมกราคม 1992 นายซอ ลู (Saw Lu) บุคคลสำคัญคนหนึ่งของกลุ่มว้าถูกทหารพม่าจับกุมที่เมืองลา ชิ โอ เนื่องจากนายทหารฝ่ายข่าวของพม่าชื่อ พ.ต.ตัน เอ รายงานว่า เขาได้เข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องยาเสพติด ซอ ลู พร้อมด้วยเมียและลูกอีก 4 คน ถูกจับเข้าคุกทั้งหมด ซอ ลู ถูกทรมานจับห้อยหัวลง และทหารพม่าใช้ไฟฟ้าช็อต เพื่อให้สารภาพ
..........เมื่อ จ้าว ยี่ ลาย (Zhao Yilai) ผู้นำ UWSA ทราบเรื่องนี้ จึงยื่นคำขาดต่อกองทัพพม่าทันที ขอให้ปลอยตัว ซอ ลู ก่อนวันที่ 26 มีนาคม 1992 มิฉะนั้น จะยกเลิกสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลพม่า ในที่สุด 16 มีนาคม 1992 กองทัพพม่าต้องจำใจปล่อยตัว ซอ ลู พร้อมครอบครัว
..........นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของอำนาจการต่อรองของ UWSA ต่อทางการพม่า
..........ผมขอสรุปผลงานของนักรบว้า ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่โดดเด่นก็คือ กองทัพพม่าเองสูญเสียอย่างหนัก ติดต่อกันมา 20 ปี จากการปราบปรามคอมมิวนิสต์พม่า ยังคงเหลือกระดูกชิ้นโตอีกหนึ่งชิ้น คือการปราบปราม "กองกำลังขุนส่า ( Mong Tai Army : MTA)" ที่อยู่ในรัฐฉาน
..........กองทัพพม่าใช้สูตรสงครามตัวแทน "หนามบ่งหนาม" เช่นเคย โดยเกลี้ยกล่อมนักรบว้าเป็นกำลังหลัก เพื่อปราบ MTA กองกำลังว้าทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นผลประโยชน์ของย่างกุ้งแน่นอน จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของย่างกุ้งดูดีในเรื่องของการปราบปรามยาเสพติดการนำเอากำลังของว้ามาปราบ MTA นี้ หน่วยปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐ (DEA) ก็ทราบดีและร่วมมือในทางลับโดยหวังว่าน่าจะจับตัวขุนส่าได้
..........ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของพม่า กองกำลังของว้า UWSA กดดัน MTA อย่างหนักสูญเสียกำลังพลเป็นจำนวนมากด้วยกันทั้งสองฝ่าย กองทัพพม่าขอเล่นบทนักเจรจา ผลออกมาก็คือ ขุนส่าราชายาเสพติดระดับโลก ยอมวางอาวุธ สงบศึก โดยนำกำลังรบจำนวนประมาณ 15,000 คน มอบตัวต่อทางการพม่า ณ เมือง Ho Mong ใน 7 ม.ค.1996
..........มาถึงตรงนี้แล้วท่านผู้อ่านคงจะเห็นว่า เรื่องราวประเพณีการล่าหัวมนุษย์ของชนเผ่าว้าเป็นอย่างไร ประการสำคัญที่สุดท่านคงเห็นภาพความสัมพันธ์ของ "กองทัพพม่า" กับ "กองทัพว้า" นั้น รบเคียงบ่าเคียงไหล่ ว่ามีสัมพันธภาพแนบแน่นกันขนาดไหน

สวัสดีครับ


******************


บรรณานุกรม


1. Maung Pho Shoke , "Why did Khun Sa' MTA Exchange Arms for Peace". Yangon, Meik Kaung Press, 1999
2. Martin Smith, "Burma Insurgency and the Politics of Ethnicity". New York, Zed Books Ltd.,1999
3. Bertil Lintner , "Burma in Revolt opium and Insurgency since 1948" .Bangkok, O.S.Printing House,1999
4. Yan Nyein Aye, "Endeavors of The Myanmar Armed Forces Government for National Reconciliation". Yangon, U Aung Zaw Publisher,2000
5. พรพิมล ตรีโชติ, "ชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลพม่า" . กรุงเทพ, สำนักงานกองทุน สนับสนุนการวิจัย, 2542
6. สังคีต จันทนะโพธิ, "ว้าแดงมังกรดอย" . กรุงเทพ, บริษัท ไพลินสีน้ำเงิน จำกัด, 2542


*****************


(1) Martin Smith : หน้า 34
(2) Richard K.Diran : The Vanishing Tribes of Burma, หน้า 114
(3) Richard K.Diran : หน้า 118

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น