14 ธันวาคม 2552

บทที่ 3


ความล้มเหลวของวอชิงตัน
โดยแดนนี่ แชคเตอร์
--------------


..........หนังสือพิมพ์อเมริกัน มิได้ช่วยเหลือเรามากนักในการที่จะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับชาวเวียดนาม ซึ่งทำการจัดตั้งและปฏิบัติการรบได้ดี จนสามารถเอาชนะรัฐบาลที่ฝ่ายสหรัฐ ฯ ให้การสนับสนุนมาได้อย่างต่อเนื่อง หนังสือพิมพ์สหรัฐ ฯ มักกล่าวถึงอีกฝ่ายหนึ่งในลักษณะเหยียบย่ำและบิดเบือนข่าว ผู้ชนะในสงครามเวียดนามเหล่านี้ถูกตราหน้าว่าไม่มีความเป็นมนุษย์และถูกเรียกว่าฝ่ายข้าศึกบ้าง พวกแดงบ้าง คอมมิวนิสต์บ้าง หรือไม่ก็เวียดกง ซึ่งชื่อต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ ถูกตั้งขึ้นเพื่อปลุกปั่นความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนอเมริกัน ที่ยึดมั่นในการต่อต้านคอมมิวนิสต์มานาน

การปฏิบัติดังกล่าวนี้ มิได้มีการเปลี่ยนแปลงจนถึงวาระสุดท้าย แม้เมื่อรัฐบาลสหรัฐ ฯ ถูกบีบบังคับให้ยอมรับรัฐบาลปฏิวัติชั่วคราว โดยการลงนามร่วมกันในสนธิสัญญากรุงปารีสก็เต็มตามเจ้าหน้าที่สหรัฐ ฯ มองภาพรัฐบาลปฏิวัติชั่วคราวคล้ายไม่มีตัวตน และปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านี้คล้ายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลฮานอย หรือเป็นกองทัพฝ่ายรุกราน ชาวอเมริกันที่ต้องการทราบเกี่ยวกับจุดหมายทางการเมือง และข้อคิดเห็นของนักปฏิวัติเวียดนาม มักต้องหันไปอาศัยการสนับสนุนของแหล่งข่าวอื่น ๆ เป็นต้นว่าข้อเขียนของนักหนังสือพิมพ์ชาวออสเตรเลีย ชื่อ วิลเฟรด เบอร์เซตต์ หรือหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส หรือประวัติศาสตร์สงครามอินโดจีนหรือสิ่งพิมพ์ของกลุ่มต่อต้านสงคราม การปฏิวัติครั้งนี้เป็นการปฏิบัติที่มีการออกอากาศทางโทรทัศน์ แต่ไม่เคยมีการวิเคราะห์ให้เข้าใจถึงวิวัฒนาการหรือยุทธศาสตร์ของการปฏิวัตินี้เลย

ผู้กำหนดนโยบายอเมริกันในระดับสูง มักประมาณการเกี่ยวกับขนาดของกำลัง และความชื่นชอบของประชาชนที่มีต่อฝ่ายเวียดนามค่อนข้างต่ำ และโดยที่รัฐบาลได้ตกลงใจอย่างเป็นทางการว่าสงครามครั้งนี้เกิดขึ้นจากการรุกรานของฝ่ายเหนือ จึงไม่ยอมรับอย่างจริงจัง แนวร่วมเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติ ได้จัดตั้งกองทัพขึ้นโดยอาศัยกำลังพล และการสนับสนุนจากประชาชนในภาคใต้เป็นอย่างดี นายแซม อาดัมส์ อดีตนักวิเคราะห์ขององค์การ ซีไอเอ ของสหรัฐ ฯ ได้เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ฮาเปอร์เกี่ยวกับรายละเอียดที่น่าสนใจว่า การยึดมั่นในความคิดดังกล่าวนำไปสู่การบิดเบือนในการประมาณการด้านการข่าวกรองเกี่ยวกับขนาดของกำลัง และขวัญกำลังใจของแนวร่วมเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติ ที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ความล้มเหลวด้านการข่าวดังกล่าว เป็นความผิดพลาดทั้งในด้านแนวความคิดและตัวเลขข้อมูล สหรัฐ ฯ ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าตนเองกำลังค้ำจุนรัฐบาล ซึ่งมิได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ในขณะที่พยายามจะบดขยี้รัฐบาลอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งประชาชนให้การสนับสนุนอยู่

บทความเกี่ยวกับการที่สหรัฐ ฯ ต้องถอนตัวจากเวียดนามคงจะมีตามมาอีกมากมาย แต่สิ่งน่าสนใจที่ควรนำมาพิจารณาก็คือ ประชาชนชาวเวียดนามชนะสงครามในอินโดจีนได้อย่างไร และขบวนการต่อต้านสงครามได้ช่วยเหลือพวกเขาอย่างไร ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นปัจจัย 10 ประการที่นำไปสู่ชัยชนะ รวมทั้งข้อคิดเห็นบางประการที่เกี่ยวพันมาถึงสังคมของชาวอเมริกันมีดังต่อไปนี้

1. ยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่เข้มแข็ง
ถึงแม้จะดูเหมือนว่าชัยชนะครั้งสุดท้ายของรัฐบาลปฏิวัติชั่วคราว มีลักษณะเป็นชัยชนะทางทหารก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้วยุทธศาสตร์ทางการเมืองของการปฏิวัติ เป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จในครั้งนี้ ขบวนการปฏิวัติสามารถระดมประชาชนเข้าต่อสู้ทั้งทางการเมืองและการทหาร ก็โดยที่ได้กำหนดปัญหาทางการเมืองของประเทศ อันเป็นปัญหาหลักได้อย่างแน่ชัด การวิเคราะห์และการวาดภาพทางการเมือง เป็นตัวชี้นำการต่อสู้ด้วยอาวุธ ถึงแม้ว่าการดำเนินการทางการเมืองและการทหารทหารในเวียดนาม จะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันก็ตาม

ในทางการเมืองแล้ว ขบวนการปฏิวัติของเวียดนามเป็นชนวนที่นำไปสู่ขบวนการต่อต้านจักรวรรดินิยม ขบวนการนี้ชี้ให้เห็นความขัดแย้งของชาวนาชาวไร่ และกรรมกร ที่มีต่อการปกครองของชนชาติ และสามารถดึงให้กลุ่มชนเหล่านี้เข้ามาเป็นพวกได้ เมื่อจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสถูกทดแทน โดยจักรวรรดินิยมยุคใหม่ของอเมริกัน แนวร่วมเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติรับการสนับสนุนจากหมู่บ้านต่าง ๆ ก็โดยที่สามารถยกปัญหาความทุกข์ยากของชนชั้นชาวนาชาวไร่ที่มีต่อเจ้าของที่ดิน และของกรรมกรที่มีต่อเจ้าของโรงงานขึ้นมาอ้าง แนวทางด้านการเมืองดังกล่าว ไม่แต่เพียงช่วยให้ประชาชนได้เข้าใจว่า อะไรคือสิ่งที่ไม่ชอบธรรม แต่ชี้ให้เห็นว่าควรจะดำเนินการต่อต้านอย่างไรต่อไปด้วย นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญก็คือ ขบวนการดังกล่าวได้วาดภาพให้เห็นสังคมที่ดีขึ้นกว่าเดิม และในการเรียกร้องให้ประชาชนจับอาวุธขึ้นเสี่ยงภัยร่วมกันนั้น ขบวนการดังกล่าวสามารถเอาชนะจิตใจของประชาชนเหล่านี้ได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่นักยุทธศาสตร์อเมริกันกล่าวขวัญถึงเสมอ แต่ก็สามารถที่จะกระทำการดังกล่าวได้ด้วยตนเอง

2. ยุทธศาสตร์ทางการทหารที่ยอดเยี่ยม
ในด้านการทหารแล้ว แนวร่วมเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติ และชาวเวียดนามเหนือสามารถทำการรบ และดำเนินกลยุทธได้ดีกว่าชาวอเมริกัน และพันธมิตรเวียดนาม นายพล โว เหงียน เกี๊ยบ และกองบัญชาการรัฐบาลปฏิวัติชั่วคราว ได้ครองความริเริ่มในการบีบบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหลัก และเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเนื่องตลอดเวลา ยุทธศาสตร์สงครามประชาชนใช้วิธีการของสงครามตามแบบผสมผสานกับยุทธวิธีกองโจร มีการใช้จรวด “แซม” ที่ทรงประสิทธิภาพควบคู่ไปกับอาวุธพื้น ๆ ที่มีอยู่ ซึ่งวิธีการปฏิวัติดังกล่าวทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องงงงัน และประหลาดใจอยู่เสมอ บรรดานักการทหารของ “เพนตากอน” มักคาดการณ์ล่วงหน้าผิด ๆ โดยที่การโจมตีต่าง ๆ มักมิได้เกิดขึ้นตามที่ได้คาดคิดกันไว้ การรบมักจะไม่เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลปฏิวัติชั่วคราวไม่ต้องการที่จะเข้าปฏิบัติการอย่างไรก็ตามที่กล่าวมานี้มิได้หมายความว่าพวกเขารบชนะไปทุกครั้ง หรือว่าวิธีการของชาวอเมริกันจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักต่อพวกเขาเลย

3. ประเพณีของการต่อสู้
สถานที่แห่งแรกที่ข้าพเจ้าไปชมเมื่อเดินทางถึงฮานอยคือพิพิธภัณฑ์ ข้าพเจ้าเข้าใจว่า นายเฮนรี่ คิสซิงเกอร์ คงถูกพาไปชมสถานที่ดังกล่าวด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะได้ชมสิ่งโบราณต่าง ๆ มากกว่าก็ตาม พวกเรามีโอกาสเห็นสิ่งต่าง ๆ ซึ่งแสดงถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานในการต่อต้านของชาวเวียดนาม ต่อการรุกรานของชนต่างชาติ และต่อรัฐบาลที่กดขี่ นักประวัติชาวเวียดนามในปัจจุบันคิดว่าตัวเองเป็นทายาทของการปฏิวัติที่เป็นมรดกสืบทอดกันมานาน 4,000 ปี
นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ นายธอมัส ฮอดกิ้น ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งถึงจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ของชาวเวียดนาม โดยเขาได้เขียนลงในหนังสือ “ผิวและชนชั้น” ของอังกฤษว่า “ประเพณีดังกล่าว ได้หยั่งรากลึกลงในโครงสร้างทางสังคมของชาวเวียดนาม และในการจัดตั้ง คอมมูนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แง่คิดที่สำคัญประการหนึ่งเกี่ยวกับประเพณีคือความมีจิตสำนึกว่าตนเองมีประเพณีที่สืบทอดกันมา ชาวไร่ชาวนาของเวียดนามมีความรู้เกี่ยวกับวิธีการปฏิวัติและสิ่งที่ควรปฏิวัติสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลานานหลายชั่วอายุคน”
มัคคุเทศก์ชาวเวียดนาม บอกกับพวกเราในฮานอยว่าพวกเขารู้สึกประหลาดใจอยู่เสมอ ที่บรรดาเพื่อนร่วมชาติของเขาในขบวนการต่อต้านสงครามของสหรัฐ ฯ ประพฤติตนผิดแผกไปจากสังคมของตนเอง ซึ่งหมายความว่าขบวนการที่จะประสบความสำเร็จจำเป็นต้องเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับประเพณีของตน และสรรหาแรงดลใจจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของตัวเองพร้อมกับประสบการณ์ที่จะนำมาใช้ได้

4. ความสามัคคีกลมเกลียว
ประชาชนเวียดนามมิได้มีความกลมเกลียวกันเสมอไป เช่นเดียวกับสังคมอื่น ๆ อีกมากมาก ถึงแม้ว่าประเทศเวียดนามจะมิได้มีการแบ่งแยก จนกระทั่งปี 1956 ก็ตาม มักปรากฏมีการชิงดีชิงเด่นระหว่างชนกลุ่มน้อย ความแตกต่างทางศาสนา และการแบ่งแยกชนชั้น บรรดาชาวเวียดนามที่เป็นคอมมิวนิสต์ ได้พยายามพัฒนาโครงการที่จะรวมชนกลุ่มต่าง ๆ เข้าด้วยกัน มาแต่แรก โดยกำหนดให้อยู่ในกรอบของความเคารพ การยอมรับซึ่งกันและกัน ชนกลุ่มน้อยในเวียดนามเหนือ ได้รับอนุญาตให้ปกครองตนเอง และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการรักษาขนบธรรมเนียมและประเพณีของตน บุคคลทุกกลุ่มถูกผนึกกำลังเข้าร่วมกันในการต่อสู้ทางทหาร และแต่ละกลุ่มก็มีตัวแทนของตนในรัฐสภาแห่งชาติ

ยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ฯ ในเวียดนาม คือความพยายามที่จะผลักดันให้ชนกลุ่มต่าง ๆ ต่อสู้กัน ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายให้คนเอเชีย รบราฆ่าฟันกับคนเอเชียด้วยกัน ทั้งองค์การซีไอเอ และพวกทหารหน่วยรบพิเศษของสหรัฐ ฯ ได้พยายามศึกษาเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ อย่างละเอียด เพื่อชักจูงชนกลุ่มน้อยเป็นต้นว่า พวกชาวเขามอนทันยาร์ด ที่อาศัยอยู่ในเวียดนามใต้หรือพวกม้งในลาวให้เข้าร่วมเป็นทหารจู่โจม เพื่อต่อต้านฝ่ายกบฏศึก ในกรณีของชาวเขามอนทันยาร์ตที่อาศัยอยู่ในที่ราบสูงภาคกลางของเวียตนามใต้นั้น ปรากฏว่านโยบายนี้ให้ผลในทางตรงข้าม เนื่องจากการลุกขึ้นต่อสู้ของชนกลุ่มน้อยพวกนี้ที่เมืองบ้านแม่ทวด ก่อให้เกิดการปฏิบัติทางทหาร ซึ่งเป็นเหตุให้ประธานาธิบดี เหงียน วัน เทียว ต้องตกลงใจถอนกำลังทางยุทธศาสตร์ อันเป็นผลให้ประสบความปราชัยย่อยยับ นายพอล ลีนตรี ซึ่งเป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสฉบับหนึ่ง ถูกตำรวจไซ่ง่อนฆ่าตาย เนื่องจากการส่งข่าวของเขาที่ว่าพวกชาวเขามอนทันยาร์ต เป็นกำลังของแนวร่วม เพื่อการปลดปล่อยชนชาติที่ถูกกดขี่ ซึ่งเป็นแนวร่วมในเครือข่ายของรัฐบาลปฏิวัติชั่วคราวของพวกเวียดกง ข่าวสารการรายงานของ นายพอล ลินตรี แสดงให้เห็นลักษณะตามธรรมชาติพื้นเมืองที่แท้จริงของการต่อสู้ในภาคใต้ และชี้ให้เห็นความสำเร็จของรัฐบาลปฏิวัติชั่วคราวในการรวบรวมกำลังชนกลุ่มต่าง ๆ ภายในสังคมของตนให้เข้าร่วมขบวนการนานานผิวพรรณ และเชื้อชาติ

5. การปลดปล่อยสตรี
สตรีมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติทุกระดับชั้น นางเหงียน ธิ บินห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลปฏิวัติชั่วคราว เป็นสัญลักษณ์ที่ดี ของการปลดปล่อยสตรีบุคคลอื่น ๆ ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก ได้แก่ นางอินห์ ซึ่งเป็นรองผู้บัญชาการกองทัพรัฐบาลปฏิวัติชั่วคราว และบรรดาสตรีทั้งหลายที่ปฏิบัติงานเป็นผู้นำอยู่ในระดับต่าง ๆ ขบวนการสตรีนี้มิได้ถือว่าเป็นการแบ่งแยกแต่ถือว่า เป็นการผสมผสานชายหญิง เข้าในระบบการต่อสู้แบบเบ็ดเสร็จ นายเลดวน ซึ่งเป็นนักทฤษฎี และเลขาธิการคนที่ 1 ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม (พรรคกรรมกร) ได้อธิบายไว้ว่า

“ หากประเทศชาติ และชนชั้นกรรมาชีพ มิได้รับการปลดปล่อยแล้ว สตรีก็มิได้รับการปลดปล่อย และหากสตรีมิได้รับสิทธิเท่าเทียมชาย และมิได้เข้าร่วมในบทบาทผู้นำของประเทศแล้ว ประเทศชาติ และชนชั้นกรรมาชีพก็จะไม่ได้รับการปลดปล่อยอย่างแท้จริง สังคมจะไม่ศิวิไลซ์ และทันสมัย หากสตรียังเป็นช้างเท้าหลัง และขาดเสรีภาพอยู่”

จำนวนสตรีในรัฐสภาฮานอย มีประมาณ 1 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด และสหภาพสตรี มีสมาชิกอยู่ถึง 5 ล้านคน การปลดปล่อยสตรี มีบทกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของฮานาย และสตรีบางคนที่ข้าพเจ้ามีโอกาสพบปะได้กล่าวซ้ำคำของโฮจิมินห์ที่ว่า “ หากสตรีมิได้รับการปลดปล่อยแล้วสังคมนิยมก็คงจัดตั้งได้เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น” เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้นำชาวเวียดนามเหนือหลายคนยอมรับว่า ประเทศของเขายังมิได้สร้างสรรค์สภาวะต่าง ๆ สำหรับการพัฒนาสังคมนิยมได้อย่างเต็มที่ ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ยังคงมีความไม่เท่าทียมกัน เกิดขึ้นกับฝ่ายสตรีผู้ซึ่งได้รับความไม่ยุติธรรมในสังคมเก่าตลอดเวลา แต่ข้อผูกมัดของการปฏิวัติเกี่ยวกับปัญหาในเรื่องนี้มีปรากฏอย่างชัดเจน และส่งผลให้การปฏิวัติประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย

6. โครงสร้างการจัด
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มีความประหลาดใจ ในขีดความสามารถของฝ่ายกบฏศึกเวียดนามในการเคลื่อนย้ายกำลังพล และยุทธศาสตร์ไปยังแนวหน้าในสภาวะที่ยุ่งยากที่สุดได้อย่างเรียบร้อย ซึ่งการจะกระทำดังนี้ได้ จำเป็นจะต้องมีโครงสร้างการจัดที่ดีสำหรับการอำนวยการให้คนนับจำนวนล้าน ๆ คน ปฏิบัติงานที่ต้องการระเบียบวินัยเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับชาวเวียดนามแล้ว เรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาลึกซึ้งไปกว่าขีดความสามารถทางด้านการส่งกำลังบำรุง แต่เพียงอย่างเดียว

การปฏิบัติของชาวเวียดนามได้ดัดแปลงโครงสร้างพรรค มาร์คซิสต์เลนินนิสต์ มาใช้กับสถานการณ์ของตน โครงสร้างนี้สามารถที่จะส่งข่าวสารทางการเมืองของพรรคอย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน การส่งคำสั่งนโยบายทางการทหาร มีการจัดตั้งข่ายงานใต้ดิน องค์การมวลชน และระบบการพัฒนาเจ้าหน้าที่หลักที่จะทำให้การดำเนินการต่าง ๆ ดำเนินไปได้ด้วยดี ผู้ที่เดินทางไปเยือนฮานอย มักประหลาดใจถึงวิธีการทำงานของระบบนี้ รวมทั้งวิธีการกำหนดระเบียบการทางประชาธิปไตย เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ จะถูกวิจารณ์เป็นประจำในหนังสือพิมพ์ของพรรค ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขมิให้เกิดระบบเจ้าขุนมูลนาย หรือมีการสั่งการที่ผิด ๆ ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมสหกรณ์ทางการเกษตร ซึ่งสมาชิกสหกรณ์เป็นผู้เลือกเจ้าหน้าที่ที่จะดำเนินการด้วยตนเอง คนงานจะได้รับการส่งเสริมให้มีส่วนร่วมในการพิจารณาว่า ควรจะดำเนินการในเรื่องเศรษฐกิจอย่างไร สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม จะมิได้รับการเปิดเผยตัว เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ

ชาวเวียดนามมีความเชื่อถือในความคิดของผู้นำ และยึดถือระบบความเป็นผู้นำแบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ ซึ่งแตกต่างไปจากฝ่ายซ้ายใหม่ของสหรัฐฯ ดูเหมือนว่า โฮจิมินห์ จะได้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างให้กับผู้นำเหล่านี้ด้วยความถ่อมตน และการวางตัวให้เหมือนกับประชาชนธรรมดาโดยทั่วไป เมื่อข้าพเจ้าได้พบกับนายเลดึกโท เขามิได้มีชุดคุ้มกันคอยให้การอารักขา และอยู่ในลักษณะคล้ายชาวบ้านธรรมดา การสนทนากับข้าพเจ้าก็ไม่อยู่ในลักษณะของการให้สัมภาษณ์ตามปกติผู้นำคนอื่น ๆ ของเวียดนามคงประพฤติปฏิบัติตนเช่นเดียวกันนี้ สิ่งเหล่านี้คือ เหตุผลที่หน่วยวิจัยของสหรัฐฯ ได้ศึกษา และลงความเห็นว่า รัฐบาลเวียดนามเหนือ เป็นรัฐบาลที่ประชาชนเชื่อถือมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก

ผู้นำรัฐบาลปฏิวัติชั่วคราวที่ข้าพเจ้าได้พบ คงมีลักษณะความเป็นผู้น้ำ เช่นเดียวกับกล่าวนี้ การประพฤติปฏิบัติของผู้นำเหล่านี้แตกต่างกันอย่างชัดเจนกับผู้นำรัฐบาลไซ่ง่อนที่มีลักษณะหญ้าที่คฤหาสน์ในไซ่ง่อน ส่วนประธานาธิบดี เหงี่ยน วัน เทียว ยิ่งโอ่อ่ามากกว่านี้อีก เขาเดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถเบนซ์ราคาแพง และรายล้อมด้วยชุดอารักขามากมาย ซึ่งข้าพเจ้าทราบภายหลังว่า บุคคลพวกนี้ได้รับการฝึกมาจากหน่วยราชการลับของสหรัฐ ฯ

7. การปฏิบัติในสิ่งที่ตัวเองสั่งสอน
ภายในเขตปลดปล่อย นักปฏิวัติชาวเวียดนามได้จัดให้มีโครงการที่ให้การบริการด้านต่าง ๆ เช่นเดียวกับในเวียดนามเหนือ คือ มีโรงเรียนและโรงพยาบาลที่ให้บริการฟรี เวียดนามเหนือ กล่าวว่า มีนักศึกษาอยู่ในประเทศถึง 6 ล้านครึ่ง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบเป็นร้อยละต่อจำนวนประชากรแล้ว สูงกว่าในสหรัฐ เสียด้วยช้ำ ชาวเวียดนามกระตือรือร้นที่จะให้เราได้ชมโครงการต่าง ๆ เหล่านี้ ตั้งแต่การเลี้ยงเด็กในเวลากลางวันไปจนถึงการให้การศึกษาต่อบุคคลในวัยหนุ่มสาว และการฝึกศึกษาทางวิทยาสาสตร์ การให้บริการต่อประชาชนดังกล่าว ทำให้การปฏิวัติได้รับการสนับสนุนจากประชาชนด้วย ถึงแม้ว่าเวียดนามจะมีทรัพยากรอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ได้ปฏิบัติไปตามแนวทางที่ตนเองได้สั่งสอนหรือให้คำมั่นสัญญาไว้ จึงสามารถปรับปรุงชีวิตชีวิตประจำวันไว้

8. การรวมอินจีน
ชัยชนะในเวียดนามเกิดขึ้นภายหลังจากการหยุดยิงในลาวและการประสบชัยชนะของการปฏิวัติในกัมพูชา ถึงแม้ว่าประเทศอินโดจีนทั้งสามจะมีประวัติศาสตร์ และขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกันออกไปก็ตาม ชาวเวียดนามสามารถที่จะปฏิบัติงานกับพวกประเทศลาว และเขมรแดงได้อย่างใกล้ชิด ในขณะที่สหรัฐ ฯ ได้ขยายของเขตของสงครามทั้งในลาวและกันพูชาขบวนการทั้งสาวประสบความสำเร็จในการจัดตั้งแนวร่วมซึ่งเปิดโอกาสให้ประเทศทั้งสาม ช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ ข้อตกลงของขบวนการทั้งสามในอินโดจีนซึ่งกระทำเมื่อเดือนเมษายน ปี 1970 ได้กำหนดวิธีการในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และการปฏิบัติที่จะให้ได้มาซึ่งชัยชนะ

9. การปลุกระดมประชาชนชาวโลก
ตลอดระยะเวลาของการทำสงคราม ชาวเวียดนามได้แสวงหาการสนับสนุนทางการเมืองอย่างจริงจังจากประชาชนและรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เวียดนามสามารถวางตัวได้ดีต่อการแตกแยกระหว่างจีนและโซเวียต ทำให้ได้รับการช่วยเหลือจากทั้งสองประเทศ การประท้วงที่มีอยู่ทั่วไปในโลกมีส่วนช่วยรัฐบาลสหรัฐ ฯ ต้องอยู่โดดเดี่ยวและถูกจำกีดขอบเขตหนทางปฏิบัติทางยุทธศาสตร์และทางด้วยการทหารลง

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ชาวเวียดนามยังได้หันไปพึ่งพาประชาชนอเมริกันอีกด้วย โดยแยกให้เห็นความแตกต่างระหว่างประชาชน และรัฐบาลอเมริกัน สำหรับประชาชนซึ่งต้องเผชิญหน้ากับลูกระเบิดอเมริกันแล้ว เรื่องนี้นับว่าเป็นการแสดงท่าทีที่กล้าหาญเพียงใด เมื่อข้าพเจ้าได้พบกับผู้ประสบภัยจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายเราบางคนที่เอาชนะความเคียดแค้นของตนเอง เพื่อส่งคำอวยพรไปยังขบวนการต่อต้านสงครามอเมริกัน ในทางการเมืองแล้วชาวเวียดนามมักเชื่อถือในความสำคัญของขบวนการต่อต้านสงคราม ถึงแม้ว่าขบวนการดังกล่าวจะมีขนาดเล็ก และดูเหมือนจะไม่มีความสำคัญในสายตาของผู้สนับสนุนบางคน ชาวเวียดนามได้ให้กำลังใจต่อบุคคลพวกนี้มากที่สุด เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศทางความคิดที่เกลียดชังสงครามอันเป็นหนทางสำคัญที่จะทำให้สงครามยุติได้ โดยในที่สุดอเมริกันก็จะปฏิเสธในเรื่องการให้ความช่วยเหลือเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ฝ่ายตนประสบชัยชนะได้เร็วขึ้น และการปฏิเสธดังกล่าวเป็นผลมาจากความคิดเห็นของปวงชนที่ขบวนการต่อต้านสงครามได้ช่วยเสริมสร้างขึ้นมา

ชาวเวียดนามได้รับผลจากความเสียสละของประชาชนอเมริกันที่มีต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก ในระยะเริ่มแรกของสงครามชาวเวียดนามเหนือเกือบทั้งหมดได้ระลึกถึงบุญคุณของนายนอร์มัน มอริสัน ซึ่งเป็นผู้ใฝ่ฝันสันติที่ยอมสละชีวิตในการประท้วงเป็นครั้งแรก ๆ ในต้นทศวรรษ 1960 ในระยะหลังชาวเวียดนามได้เป็นเจ้าภาพต้อนรับคณะผู้แทน และนักหนังสือพิมพ์อเมริกันจำนวนมากมายซึ่งเมื่อเขาเหล่านี้เดินทางไปกลับไปแล้ว ได้ไปกระจายข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ที่แท้จริงในเวียดนามให้โลกรู้ ชาวอเมริกันพวกนี้ได้รับผลกระทบในการเดินทางไปเยือนเวียดนามเป็นอย่างมาก และในขณะเดียวกันประชาชนนับล้าน ๆ คนทั่วโลกต่างมีความเข้าใจในความหมายของการปฏิวัติสากลโดยการเฝ้าดูวิธีการที่ชาวเวียดนามนำมาใช้

10. อย่างโลเล หรือ รีบร้อน
การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ยาวนาน และได้รับแรงผลักดันจากความเชื่อมั่นอย่างใหญ่หลวงในชัยชนะขั้นสุดท้าย และความถูกต้องของสาเหตุในการทำการสงครามปฏิวัติ นอกจากนี้ยังแสดงออกให้เห็นถึงความอดทน ซึ่งแม้ว่าจะต้องประสบกับความขาดแคลน การทรยศหักหลัง หรือความหวังก็ตามพวกเขาก็ต่อสู้โดยไม่ย่อท้อและพิจารณาเห็นว่าการปฏิวัติที่กำลังกระทำอยู่นั้น เป็นการดำเนินกรรมวิธีตามขั้นตอน หรือเป็นฉากการแสดงที่ต่อเนื่องกันไป เจ้าหน้าที่เวียดนามเหนือที่ข้าพเจ้ามีโอกาสพบปะสนทนาด้วย มีความเชื่อมั่นว่าความหวังของพวกเขาจะเป็นจริง ซึ่งปรากฏเป็นหลักฐานในคำสนทนาของข้าพเจ้ากับนักปฏิวัติเหล่านี้ว่า พวกเขาเชื่อมั่นความสามารถของมนุษย์ที่จะบันดาลให้เกิดสิ่งที่เป็นเป็นไปได้ อุดมการณ์ของเขาดูเหมือนจะเป็นสิ่งพึงปรารถนา และมีลักษณะง่าย ๆ ในระดับหนึ่ง เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้งจะแฝงไว้ด้วยความเฉลียวฉลาด ความเสแสร้งหรือแม้แต่ความเยาะเย้ย นักเขียนสตรีชื่อ ฟรานเซส ฟิตซ์ เจอรัลด์ เขียนบทความลงในนิตยสารนิวยอร์คเกอร์ เกี่ยวกับการเดินทางไปฮานอยว่า “ชาวเวียดนามเหนือมีความรู้สึกเยาะเย้ยถากถางแอบแฝงอยู่ แต่ถูกบิดบังจนหมดสิ้น ด้วยความกระด้างของความเชื่อทฤษฎี และการใช้ถ้อยคำที่เหลือเชื่อ” นักเขียนผู้นี้เขียนบทความของเธอด้วยความนิยมชมชอบ หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่านักปฏิวัติคือประชาชน ..... มนุษย์ธรรมดา ..... ที่อาจกระทำผิดพลาดอันเป็นลักษณะธรรมดาของพวกเราทุกคน แต่พวกเขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าประชาชนสามารถสร้างประวัติศาสตร์ได้

ข้อความนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายประการที่ชาวเวียดนามได้สอนพวกเรา และในการเรียนรู้บทเรียนต่าง ๆ จากเวียดนาม เราไม่ควรละทิ้งสิ่งที่พวกเขาสอนเราเกี่ยวกับวิธีการต่อสู้ในการปฏิบัติที่ประสบผลสำเร็จ จริงอยู่ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างมากกว่าคล้ายคลึงของสังคมของเรา และของเขา ข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายที่จะเสนอแนะว่า เราสามารถนำวิธีการของพวกเขามาใช้กับประเทศของเราได้ โดยอัตโนมัติหรือโดยมิต้องพิจารณาก่อน อย่างไรก็ตามประสบการณ์ของพวกเขาจะเสริมสร้างประเพณีการปฏิวัติให้ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์

ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “HEARTS AND MINDS” ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ว่า เขาสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เนื่องจากความกังวลใจเกี่ยวกับ “การปลดปล่อยอเมริกา” ที่อาจเกิดขึ้น สงครามเวียดนามซึ่งเป็นตัวอย่างของเดวิด ผู้ฆ่ายักษ์โกโลอัตห์ในสมัยปัจจุบันก็ได้ผ่านไปแล้ว บางทีต่อไปเกมส์ดอมิโนของจิตใต้สำนึกจะเริ่มต้นล้มลง และอย่างที่รู้กัน ปีนี้เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองการปฏิวัติต่าง ๆ ภายในประเทศของเรามิใช่หรือ ?


*********************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น