02 พฤศจิกายน 2552

เมื่อขุนนางไทย…มีเมียฝรั่ง

เมื่อขุนนางไทย…มีเมียฝรั่ง
พล.ต.นิพัทธ์ ทองเล็ก
ผอ.สำนักวางแผนการฝึกร่วมและผสม
กรมยุทธการทหาร

..........ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีชาวต่างชาติเข้ามาติดต่อค้าขาย รับราชการ ในราชสำนัก เป็นจำนวนไม่น้อย ทั้งชาย หญิง เรื่องราวการแต่งงานของชาวต่างชาติกับหญิงไทยไม่ค่อยปรากฏให้เห็นมากนัก ผมได้พยายามแกะรอยย้อนอดีตสืบเสาะหาตำนานเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หวานแหววของชาวต่างชาติกับคนไทยในอดีตมาให้อ่านเล่นๆ ไอ้เรื่องพ่อค้าวานิช ฝรั่งมังค่า แขก ญี่ปุ่น มาแต่งงานอยู่กินกับผู้หญิงไทย คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ?
..........แต่เรื่องนี้มาแปลกแหวกแนวครับ เพราะขุนนางไทยได้แต่งงานกับลูกสาวกงสุลอังกฤษ !
..........มีบันทึกพงศาวดารโบร่ำโบราณในอดีตของ “ไทยน้อย” บันทึกเรื่องนี้ไว้น่าสนใจ ผมย่นย่อตัดต่อมาให้อ่านดังนี้ครับ
..........ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการกล่าวขวัญถึงบุคคลสำคัญของเมืองไทยคนหนึ่ง คือ พระปรีชากลการ (สำอาง) พระปรีชาฯ ผู้นี้จัดว่าเป็นคหบดีผู้มั่งคั่งในสมัยนั้น ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานความไว้วางใจให้ทำสัมปทานบ่อทองที่กบินทร์บุรี ซึ่งเป็นตำบลที่มีแร่ทองคำมากที่สุดในเมืองไทยเท่าที่สำรวจได้ในขณะนั้น พระปรีชาฯ ยังหนุ่มแน่น มีความเป็นอยู่หรูหรา ชอบสมาคมในหมู่ชาวต่างประเทศ ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศล่าเมืองขึ้นทั้งนั้น และสยามก็เป็นประเทศหนึ่งซึ่งกำลังอยู่ในบัญชีของสองมหาอำนาจที่มีดินแดนเมืองขึ้นประกับซ้ายประกับขวาอยู่ ต่อมาพระปรีชาฯ จึงได้แต่งงานกับ มิส แฟนนี่ น๊อกซ์ ลูกสาวของ มิสเตอร์ น๊อกซ์ กงสุลอังกฤษ
..........การแต่งงานกับลูกสาวกงสุลอังกฤษ ซึ่งนับว่าเป็นลูกผู้ทรงอิทธิพลที่ใหญ่ยิ่งของเมืองไทยในขณะนั้น พูดง่ายๆ ก็คือ รัฐบาลสยามจะต้องเกรง มิสเตอร์ น๊อกซ์ ผู้นี้อยู่มากมาย เพราะเป็นตัวแทนของประเทศมหาอำนาจ ผู้มีทั้งประกาสิต ทั้งอำนาจ และทั้งกำลังอันเกรียงไกร ซึ่งได้กว้านดินแดนอันมากมายมหาศาลเข้ามาอยู่ในกำมือมากมายทั่วพิภพ ฐานะของ พระปรีชาฯ จึงพุ่งขึ้นสูงลิ่ว
..........การแต่งงานของพระปรีชาฯ กับ มิส แฟนนี่ น๊อกซ์ ได้กระทำไปโดยพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงรับทราบ ซึ่งในสมัยนั้น ขุนนางไทยในตำแหน่งอันทรงเกียรติ “คุณพระ” จะต้องถวายความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นที่ตั้ง แต่พระปรีชาฯ ไม่ถือว่าการนั้นเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นการประจวบกับที่กำลังมีการฉลองพระราชวังบางปะอิน อย่างมโหฬารนั่นเอง
..........พระปรีชาฯ พาภรรยาไปฮันนีมูนโดยเรือยอร์ช จอดลอยลำเป็นสง่าผ่าเผยอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าพระราชวัง บางปะอิน สมเด็จเจ้าพรยามหาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ซึ่งอยู่ที่บางปะอิน เมื่อทราบว่าพระปรีชาฯ พาภรรยามาฮันนีมูนโดยเรือยอร์ช ด้วยความที่ต้องการจะเอาใจกงสุลใหญ่อังกฤษประจำประเทศสยาม จึงเดินทางไปเยี่ยมเยียนพระปรีชาฯ และภรรยาจนถึงเรือยอร์ชด้วยตนเอง พระปรีชาฯ จึงรู้สึกตัวขึ้นฉับพลันว่า รำๆ จะเป็นใหญ่แก่คนทั้งแผ่นดินแล้ว เพราะขนาดสมเด็จเจ้าพระยาฯ แห่งประเทศสยาม ยังต้องมาหาเขาจนถึงเรือ
..........ในขณะที่พระปรีชาฯ กำลังฮันนีมูนกลางแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าพระราชวังบางปะอินนั้น เขาไม่รู้ถึงเหตุร้ายได้อุบัติขึ้น เบื้องหลังเหตุร้ายนั้นเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่เขาก่อขึ้นนั้น กำลังรอพระบรมราชวินิจฉัยของพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชวังกรุงเทพฯ นั่นคือฎีการ้องทุกข์ของราษฎรที่จังหวัดปราจีนบุรีหลายต่อหลายฉบับ แต่ละฉบับได้ชี้ชัดว่า พระปรีชา ฯ ก่อเหตุอันน่าสยดสยองยิ่ง
..........ฎีกาแต่ละฉบับ ได้ท้าวความกราบบังคมทูลในหลวง กรณีการทำสัมปทานบ่อทองที่กบินทร์บุรี พระปรีชาฯ ได้จัดสร้างโรงงานขนาดใหญ่ที่หน้าเมืองปราจีนบุรี และทำทางรถไฟจากแม่น้ำเมืองปราจีนจนถึงบ่อทองที่กบินทร์บุรี วิธีการทำบ่อทองของพระปรีชาฯ นั้น เมื่อทำการระเบิดหินแล้วก็จัดการลำเลียงหินที่ระเบิดได้ ส่งมาโรงงานใหญ่ที่ปราจีนทางลำแม่น้ำโดยทางเรือ แต่ปรากฏว่าระยะทางตามลำน้ำดังกล่าว เต็มไปด้วยตอใต้น้ำมากมาย ระเกะระกะไปหมด พระปรีชาฯ ได้ใช้อำนาจเกณฑ์ราษฎรให้ลงขุดตอใต้น้ำ การใช้อำนาจเพียงเพื่อขุดตอใต้น้ำนั้น หาเป็นที่พอใจของ พระปรีชาฯ ไม่ คือถ้าราษฎรคนไหนแสดงความอ่อนแอไม่อดทนต่อการดำน้ำไปขุดตอให้เห็น จะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ พระปรีชาฯ ก็ใช้ให้คนเอาถ่อค้ำคอราษฎรมิให้โผล่ขึ้นจากใต้น้ำ จนกระทั่งขาดใจตายอยู่ในน้ำ
..........นอกจากนั้นยังประกอบกรรมทารุณหลายอย่างหลายประการ คือมีวิธีการในการทำโทษราษฎรที่ทำงานไม่ถูกใจ โดยพระปรีชาฯ ให้สร้างห้องขังราษฎรที่ต้องโทษขึ้น ห้องขังดังกล่าวปลูกอยู่ใต้ถุนครัวไฟของพนักงานบ่อทอง เมื่อราษฎรต้องโทษทัณฑ์ เพราะความไม่พอใจ พระปรีชาฯ จะสั่งคนให้จับราษฎรยัดเข้าไปในเล้าหมูใต้ครัวไฟนั้น ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำคลำและขี้โคลน ไม่มีไม้กระดานพอจะเอนกายหลับนอนตอนกลางค่ำกลางคืนแม้แต่แผ่นเดียว เมื่อพนักงานของบ่อทองติดไฟหุงต้มอาหาร ลูกไฟและถ่าน ก็กระเด็นลงมาในเล้าขังคนโทษ บางครั้งก็มักจะมีน้ำร้อนๆ ราดลงมา อันเป็นการทารุณแก่ราษฎรชาวปราจีนบุรีเป็นที่ยิ่ง และยังมีเหตุอันควรพิสูจน์ได้ว่า พระปรีชาฯ ได้ใช้งบประมาณของแผ่นดินไปในการถลุงบ่อทองคราวนี้ เป็นเงินหลายหมื่นชั่ง เข้าใจว่าทองที่ส่งเข้ามาถวายเพื่อเก็บเป็นทุนสำรองในพระคลังก็หาคุ้มค่าโสหุ้ยกันด้วยไม่
..........พระเจ้าอยู่หัว ทรงพระอักษรฎีกา ของราษฎรเช่นนั้น ก็ทรงพระพิโรธเป็นอันมาก มีพระราชดำรัสว่า พระปรีชาฯ ถือตนว่าเป็นลูกเขยฝรั่งชาติอังกฤษ อันมีศักดินาเป็นคนสูงใหญ่แห่งประเทศ จึงทำเอาแก่พสกนิกรของพระองค์ซึ่งเป็นคนไทยตาดำๆ ยิ่งเสียกว่าพวกทาสในสมัยอิยิปต์และโรม ทรงเห็นว่า ถ้าจะทรงเพิกเฉยไม่ทรงรับเอาเป็นภาระธุระในเรื่องนี้ พระองค์ ในฐานะพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเอนกนิกรสโมสรสมมต ก็ย่อมจะเสียศักดิ์ศรีที่พระองค์จะต้องทำหน้าที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่ไพร่ฟ้าประชากรไป สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระบัญชาให้ราชเลขานุการจดส่งเรื่องนั้นไปเข้าที่ประชุมปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งในขณะนั้น ยังเรียกว่า Council of State ทับศัพท์ของฝรั่งอยู่
..........เมื่อคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ได้เรียกประชุมพิจารณาปรึกษาฎีการ้องทุกข์ของประชาชนจากปราจีนบุรี ที่กลุ้มรุมฟ้องพระปรีชาฯ อันเป็นข้อหาฉกรรจ์เช่นนั้น ก็เห็นว่าเป็นกรณีร้ายแรงเป็นภัยต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร เพราะจะทำให้ฝรั่งเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศป่าเถื่อนทารุณ อาจจะมีนักเลงตีเข้ามาขอปลดแอกเช่นพม่าและอินโดจีนเข้าอีก ก็มีคำสั่งให้ดำเนินการจับกุมพระปรีชาฯ ทันที
พระปรีชาฯ ถูกจับตัวและส่งมาจำตรวนไว้ที่กระทรวงวัง คณะที่ปรึกษาได้มีบัญชาให้เจ้าหน้าที่คุมตัวมาสอบสวนหลายครั้งหลายหน ก็ได้ความสัตย์อันใกล้เคียงกับที่ราษฎรได้กล่าวหาทำฎีการ้องเรียนกราบถวายบังคมทูลขึ้นมา
..........ความเรื่องนี้ได้ทราบไปถึง มิสเตอร์ น๊อกซ์ กงสุลใหญ่อังกฤษประจำประเทศสยาม ถึงเรื่องที่พระปรีชาฯ บุตรเขยถูกจองจำอยู่ในพระบรมมหาราชวังเช่นนั้น ก็รุดเข้าพบสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อเขาเข้าไปพบนั้น สมเด็จเจ้าพระยาฯ เห็นก็ร้องเชิญให้นั่งว่า “เชิญท่านกงสุลเยเนราลนั่งซีครับ”
..........แต่แทนที่ มิสเตอร์ น๊อกซ็ กงสุลใหญ่อังกฤษประจำประเทศสยาม จะแสดงกริยาคารวะให้เกียรติ กลับแสดงกริยาโอหังและตะคอกสมเด็จเจ้าพระยาฯ ว่า “ทำไมท่านจึงเรียกว่ากงสุลเยเนราล การเอ่ยถึงคำนี้เป็นการดูหมิ่นพระนางวิคตอเรีย นางกษัตริย์แห่งมหาประเทศที่มีเมืองขึ้นอันมากมายมหาศาลจนพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ท่านต้องรับผิดชอบในคำพูดของท่าน”
..........สมเด็จเจ้าพระยาฯ ได้ฟังดังนั้นก็รู้แน่ว่ากงสุลอังกฤษจะมาหาเรื่องอย่างแน่นอน จึงเงียบเสีย เมื่อกงสุลเห็นสมเด็จเจ้าพระยาฯ เงียบเช่นนั้น คงจะมีความรู้สึกว่า สมเด็จเจ้าพระยาฯ กลัว จึงสำทับต่อไปว่า
“ที่มาพบท่านนี้ ก็ด้วยลูกเขยของฉัน คือพระปรีชาฯ ถูกจับ เอาไปล่ามโซ่ล่ามตรวนไว้ ขอให้ท่านและรัฐบาลของท่าน มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ปลดพันธนาการพระปรีชาฯ ออก และส่งมอบตัวกับฉันด่วน มิฉะนั้นมีความเสียใจที่จะเรียนท่านผู้สำเร็จราชการและรัฐบาลของท่านว่า โดยอำนาจกงสุลจะได้มีคำสั่งทางโทรเลขให้เรือรบแห่งราชนาวีอังกฤษแล่นเข้ามาในน่านน้ำสยามและทำการบอมบาร์ดกรุงเทพฯ ให้ยับเยินสมกับที่รัฐบาลของท่านสั่งจับลูกเขยของฉันโดยไม่เป็นธรรม”
..........เขาหยุดไปครู่หนึ่ง และเมื่อเห็นสมเด็จเจ้าพระยาฯ ไม่ได้ตอบประการใด ก็สำทับอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายว่า
..........“ถ้าท่านไม่จัดการส่งตัวพระปรีชาฯ คืนให้ข้าพเจ้าโดยทันที นับแต่วินาทีที่ท่านได้รับคำแจ้งจากข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะสั่งจับตัวท่านเอาไปเป็นประกันในเรือรบด้วย”
..........คำพูดที่ว่า “จะจับผู้สำเร็จราชการไปขังไว้ในเรือรบ” เป็นคำพูดที่แน่ละที่จะต้องแสลงหูอย่างมากเป็นธรรมดา แต่เมื่อ มิสเตอร์ น๊อกซ์ พูดประโยคสุดท้ายของเขาสำทับด้วยอาการขู่เพื่อให้สมเด็จเจ้าพระยาฯ ผู้สำเร็จราชการแห่งสยาม ปอดลอยเช่นนั้นจบลงแล้ว ก็ผลุนผลันไปจากทำเนียบของท่านสมเด็จเจ้าพระยาฯ โดยฉับพลับทันที ทิ้งไว้ให้สมเด็จเจ้าพระยาฯ ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่จะอุบัติขึ้นในอนาคตแต่ลำพัง
..........ในสมัยนั้น กรุงเทพฯ ยังไม่มีโทรเลข และระหว่างกรุงเทพฯ และสิงคโปร์ก็มีเรือเมล์เดินไปมา บรรทุกสินค้าและ คนโดยสารแต่เพียงลำเดียว ชื่อเรือเมล์ “บางกอก” เป็นเรือที่พระเจ้าอยู่หัวเคยใช้เป็นเรือพระที่นั่ง เสด็จประพาสอินเดีย มาเมื่อคราวนั้น
..........เพราะฉะนั้น ในโอกาสที่เรือ “บางกอก” จะเดินทางไปสิงคโปร์เป็นเที่ยวแรก หลังจากเหตุการณ์ มิสเตอร์ น๊อกซ์ กงสุลเยเนราลอังกฤษอาละวาด มิสเตอร์ น๊อกซ์ จะมอบคำสั่งให้เรียกเรือรบเพื่อมาบอมบาร์ดกรุงเทพฯ ไปกับเรือบางกอก สั่งให้ผู้ว่าราชการเมืองสิงคโปร์ได้โทรเลขต่อไปถึงฮ่องกง ซึ่งกองเรือรบประจำน่านน้ำตะวันออกไกลแห่งราชนาวีอังกฤษ ประจำอยู่ที่นั่น
..........ในทันทีนั้นเอง ข่าวเรื่องกงสุลเยเนราลอังกฤษเรียกเรือรบมากรุงเทพฯ ก็แพร่สะพัดไปทั่วกรุงเทพฯ ผู้คนพากัน ตื่นเต้นวุ่นวาย ห้างร้านซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นของเจ๊ก ญี่ปุ่น และฝรั่ง พากันปิด โรงสีข้าวก็ปิดไปตามๆ กันหมด
..........สมเด็จเจ้าพระยาฯ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ภายหลังที่ได้ทำบันทึก มิสเตอร์ น๊อกซ์ มาอาละวาดถึงทำเนียบ ทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบโดยละเอียด เพื่อขอพระบรมวินิจฉัยแล้ว ก็เดินทางไปพักผ่อนยังคฤหาสน์ของท่านที่ราชบุรีเพราะเหตุที่คงจะปวดหัวในเรื่องราวเช่นนี้เป็นกำลัง
..........เมื่อเรื่องผ่านมาถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ก็โปรดฯ ให้ประชุมที่ปรึกษาราชการแผ่นดินขึ้นโดยด่วน ที่ประชุมที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เมื่อได้วินิจฉัยและอภิปรายเรื่องนี้โดยละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ก็มีความเห็นพ้องกันว่า รัฐบาลของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ควรจะส่งคณะทูตชุดหนึ่ง เดินทางไปเจรจากับรัฐบาลอังกฤษให้รู้เรื่อง ดีกว่าจะโต้ตอบกันไปมาทางหนังสือซึ่งจะต้องอ้อมโลกอยู่นานกว่าจะรู้เรื่องก็คงไม่ทันการ ความบ้าบิ่นของกงสุลเยเนราลอังกฤษ อาจจะทำความพินาศให้กรุงเทพฯ ได้
..........พระเจ้าอยู่หัวเมื่อได้รับคำกราบทูล ของคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดินเช่นนั้นแล้ว ก็พระราชทานมติของคณะที่ปรึกษาไปยังสมเด็จเจ้าพระยาฯ ที่ราชบุรี
..........สมเด็จเจ้าพระยาฯ ถวายบังคมทูลกลับมาสนองพระบรมราชวินิจฉัยในการจะแต่งตั้งทูตไปอังกฤษครั้งนี้ว่า “ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่า นักการทูตมือเอกของเรา คือ เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์นั้น เพิ่งกลังจากปารีสเนื่องจากเป็นหัวหน้าคณะทูตไปดำเนินคดี เรื่อง มองสิเออร์ โอบาเรต กงสุลฝรั่งเศส เพิ่งกลับมาถึงเมืองไทยเพียงหยก ๆ เป็นผู้รู้ขนบธรรมเนียมของตะวันตกดีและเชี่ยวชาญในภาษาอังกฤษ ไปดำเนินในทางการทูตครั้งนี้”
..........พระเจ้าอยู่หัว มีพระราชวินิจฉัยเห็นชอบด้วย เพราะอย่างน้อยที่สุดการเลือกเฟ้นนักการทูตในสมัยนั้น ก็น่าจะต้องเพ่งเล็งผู้รู้ภาษาอังกฤษดี เป็นอันดับแรก ถึงขนาดแปลตำรับตำรากฎหมาย และระเบียบราชการบริหารในต่างประเทศถวาย ได้อย่างคล่องแคล่ว ถือได้ว่าเป็นนักการทูตมือหนึ่งของกระทรวงการต่างประเทศ แห่งประเทศสยามในขณะนั้นและทรงเลือก จมื่น สราภัย สฤษดิการร่วมในคณะทูตพิเศษครั้งนี้ด้วย
..........ท่านผู้อ่านที่รัก…… เรื่องราวไม่ได้จบลงง่ายๆ ….คณะทูตพิเศษนี้ ต้องเดินทางรอนแรมไปถึงสิงคโปร์ ซึ่งข้าหลวงอังกฤษประจำสิงคโปร์ ได้ปลอบใจคณะทูตฯ ว่า รัฐบาลของพระเจ้าอยู่หัว ไม่ควรวิตกไปให้มากนัก เหตุการณ์เช่นนี้มิได้ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศสยาม ได้เคยมีเยี่ยงอย่างมาแล้วที่รัฐบาลอังกฤษ ที่กรุงลอนดอนเคยคาดโทษว่า ถ้ามีเหตุการณ์ “บอมบาร์ด” ขึ้น ผู้บังคับการเรือรบลำที่ปฏิบัติตามคำสั่งของกงสุลจะต้องรับผิดชอบ จึงเข้าใจว่า มิสเตอร์ น๊อกซ์ กงสุลใหญ่อังกฤษ จะไม่กระทำเช่นนั้นแก่กรุงสยาม หรือแม้อาจหาญกระทำลงไป ผู้บังคับการเรือรบที่เคลื่อนเข้าไปปากน้ำสยาม คงไม่กล้า บอมบาร์ดกรุงเทพฯ ตามคำสั่งของกงสุลใหญ่แน่นอน
..........คณะทูตฯ ของไทย ได้ส่งโทรเลขจากสิงคโปร์ไปลอนดอน ถึงพระยาสยามธุระพาหะ กงสุลสยามที่ลอนดอน เพื่อให้พูดกับลอร์ด ซอลส์เบอรี่ เสนาบดี ว่าการต่างประเทศอังกฤษ แจ้งให้ทราบว่าคณะทูตฯ กรุงสยามกำลังเดินทางมาลอนดอน เพื่อขอร้องให้รัฐบาลอังกฤษระงับเหตุ ต่อมาจึงได้รับโทรเลขตอบจากลอนดอนว่า รัฐบาลอังกฤษยินดีให้คณะทูตฯ แห่งกรุงสยามเข้าพบ และจะโทรเลขระงับการเดินทางของเรือรบอังกฤษที่จะมากรุงสยามต่อไปด้วย
..........คณะทูตฯ ของไทยทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเข้าพบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษให้ตั้งกระทู้ถามในรัฐสภา และปรากฏว่า ลอร์ด ซอลส์เบอรี่ ได้จัดการสอบสวนอย่างจริงจัง ตามกระทู้จึงพบว่า มีมูลความจริง กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ จึงเรียก มิสเตอร์ น๊อกซ์ กลับอังกฤษโดยด่วน และมีคำสั่งห้ามมิให้ยุ่งกับรัฐบาลสยามต่อไป
..........คณะทูตฯ กลับมาถึงกรุงเทพฯ และนำความชื่นชมมาถวายพระเจ้าอยู่หัว ต่อมาจึงจัดการพิพากษาถอดบรรดาศักดิ์ พระปรีชาฯ เป็น “นายสำอาง” และประหารชีวิตในที่สุด
..........คดีนี้ จึงเป็นคดีแรกที่อำนาจอธิปไตยของศาลไทย ได้พิพากษาประหารชีวิตแก่บุคคลซึ่งเป็นลูกเขยชาวอังกฤษ ที่สูงศักดิ์ มีตำแหน่งเป็นถึงกงสุลใหญ่ประจำประเทศสยาม

----------------------------------

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ6/4/54 10:50

    เป็นครั้งแรกที่ได้อ่านเรื่องนี้ ขอขอบคุณ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ24/9/55 10:42

    เหมือนเคยอ่านหนังสือเรื่องนี้ แต่เป็นการเล่าจากมุมมองทางฝั่งแหม่มฝรั่ง เพราะงั้นเรื่องจะออกไปในทางคนไทยเป็นผู้ร้าย กลั่นแกล้งผู้ชายเพราะต้องการแย่งมิสน็อกซ์ ด้วยการใส่ร้าย 5555
    เรื่องเล่า(หรือเรื่องแต่งเสริมเล่านิยายเรื่องนี้)จบลงตรงมิสน็อกซ์แก้แค้นด้วยการกลับมาตั้งโรงเรียน ใช้เวลานานนับสิบๆปีปลูกฝังสั่งสอนเด็กๆให้เรียนหนังสือ ส่งเสริมถึงไปเรียนเมืองนอกเมืองนา แล้วกลับมาเมืองไทยเพื่อปฏิวัตินั้นเอง

    ดีเหมือนกันได้อ่านเรื่องนี้ทั้งสองมุม

    ขอบคุณคะ

    ตอบลบ